@ติดต่อ mcu_53@hotmail.com@ @ขออภัยกำลังปรับปรุง@

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ชวนคิดชวนทำ


     
            บรรดานักวิจัยค้นพบว่า เมื่ออายุมากขึ้น สมองจะยิ่งพัฒนาและคิดหาวิธีการที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น สมองสองซีกเริ่มทำงานประสานกันได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้คนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด มีสติปัญญาดีและฉลาดหลักแหลม
     
       แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไปจะฉลาดหลักแหลมกันทุกคน เพราะขึ้นอยู่กับพันธุกรรมด้วย
     
       อย่างไรก็ตาม ยังมีองค์ประกอบอื่นๆอีกที่จะช่วยพัฒนาสมองให้ทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้บุคคลนั้นฉลาด มีไหวพริบ ดูดี และเก่งกล้าสามารถ
     
       ผู้ที่อยากสมาร์ท มีเชาว์ปัญญาฉลาดปราดเปรื่อง ต้องหมั่นลับสมองให้แหลมคม ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
     
       • สิ่งที่ควรทำ
     
       กิจกรรมต่างๆดังต่อไปนี้ ได้พิสูจน์แล้วว่า เมื่อทำเป็นประจำจะช่วยพัฒนากระบวนการคิดให้ดีขึ้น ทำให้คุณคิดอ่านอย่างคล่องแคล่ว และมีไหวพริบเป็นเยี่ยม
     
       1. ปฏิบัติสมาธิ : เพราะมีการวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า การสวดมนต์และทำสมาธิ มิใช่เพียงก่อให้เกิดความสงบภายในจิตใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีกับกระบวนการทำงานของสมองที่เกี่ยว ข้องกับการเรียนรู้ และความเชื่อมโยงกับอารมณ์ทางด้านดีอย่างถาวรอีกด้วย
     
       2. ดูทีวีบางรายการ : เช่น สารคดีต่างๆ หรือเกมโชว์ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมรายการและผู้ชมได้ใช้ความรู้ความสามารถและจินตนาการในรูปแบบต่างๆ เช่น เกมโชว์ด้านวิทยาศาสตร์ รายการเหล่านี้ให้ทั้งความรู้ความบันเทิง ที่ผู้ชมอาจจะนำไปต่อยอดให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
     
       3. นอนหลับให้เพียงพอ : แต่ละคืนควรนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมง เพราะเมื่อตื่นนอนจะทำให้สมองปลอดโปร่ง แจ่มใส พร้อมรับวันใหม่ เซลล์ประสาทสมองเชื่อมต่อกันได้ดี ส่งผลดีในเรื่องความจำ
     
       ลองค้นหาจำนวนชั่วโมงนอนที่เหมาะสำหรับตัวคุณ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสารคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน
     
       4. ฟังดนตรี : มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า การฟังดนตรีช่วยทำให้ความจำดีขึ้น และส่งเสริมทักษะด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังช่วยพัฒนาทักษะการฟังและสมาธิ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย
     
       5. เรียนภาษาต่างประเทศ : แม้งานวิจัยส่วนใหญ่บอกว่า ให้เริ่มสอนภาษาต่างประเทศแก่นักเรียนตั้งแต่ชั้นเรียนเล็กๆ จึงจะเห็นผลดี
     
       แต่อย่าเพิ่งท้อ เพราะไม่มีคำว่าแก่เกินไปที่จะเรียนรู้ ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด การเรียนรู้ภาษาใหม่จะเพิ่มโอกาสให้สมองสร้างเครือข่ายใยสมองใหม่ๆ ทำให้เฉลียวฉลาดขึ้น
     
       6. ฝึกฝนความจำ : คนขับแท็กซี่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต้องจำถนนหนทางทุกแห่งในเมืองให้ได้ก่อน จึงจะได้รับใบอนุญาตขับขี่
     
       ทีมนักวิจัยพบว่า คนขับแท็กซี่เหล่านี้มีสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (มีบทบาทสำคัญในการสร้างความทรงจำระยะยาวและการกำหนดทิศทาง) ใหญ่กว่าคนทั่วไป ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างหนักแน่นระหว่างการฝึกฝนความจำและความเฉลียวฉลาดที่เพิ่มมากขึ้น
     
       7. เล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ : คนที่เล่นเกมปริศนาอักษรไขว้เป็นประจำ นอกจากจะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังเป็นการลับสมองให้เฉียบคม ทำให้คิดอ่านได้เร็ว แถมป้องกันการหลงลืมได้ชะงัดนัก
     
       สำหรับคนที่เริ่มต้นฝึกเล่นเกมนี้ ไม่ต้องกังวลว่าจะทำไม่ได้ ให้เริ่มจากเกมง่ายๆก่อน เมื่อทำสำเร็จ จึงเปลี่ยนเป็นเกมที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
     
       8. เล่นหมากรุก : เกมหมากรุกช่วยพัฒนาความสามารถในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่าง ระยะทางและพื้นที่ อีกนัยหนึ่งคือทำให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของรูปร่าง (เช่น เวลาที่เราอ่านแผนที่) และไหวพริบด้านตัวเลข รวมทั้งได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์และความคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อแก้ปัญหา
     
       • สิ่งที่ควรรับประทาน
     
       โภชนาการที่ดีช่วยให้สุขภาพร่างกายและสมองแข็งแรง อีกทั้งมีการวิจัยที่เผยว่า อาหารบางชนิดช่วยปกป้องสมอง และเพิ่มเชาว์ปัญญา ความฉลาด มากยิ่งขึ้น
     
       1. วิตามินบี : วิตามินบีช่วยในเรื่องความจำและสภาพอารมณ์ เพราะมีงานวิจัยที่พบถึงความเชื่อมโยงระหว่างสภาพอารมณ์ ที่แย่ลงกับการที่ร่างกายขาดวิตามินบีในผู้สูงอายุ
     
       ดังนั้น จึงมีคำแนะนำให้ทานอาหารที่มีวิตามินบีสูง เช่น ธัญพืช กล้วย ถั่วต่างๆ ไข่ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว ฯลฯ
     
       2. วิตามินอี : วิตามินอีมีประโยชน์ต่อสุขภาพสมองโดยรวม เพราะมันเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอ่อนๆ อีกทั้งยังช่วยลดอาการซึมเศร้าและยืดเวลาการก่อตัวของโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย
     
       พืชผักและผลไม้ เช่น ธัญพืชและถั่วต่างๆ ผักใบเขียว มะม่วง กีวี ฯลฯ อุดมด้วยวิตามินอีสูง จึงควรรับประทานเป็นประจำ
     
       3. น้ำสะอาด : ทุกคนรู้ดีว่า การดื่มน้ำส่งผลดีต่อร่างกาย แต่นักวิจัยบางคนบอกว่า จะยิ่งดีไปกว่านั้น หากได้ดื่มน้ำตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องรอจนกระหาย ซึ่งจะทำให้ร่างกายชุ่มชื้น พร้อมที่จะนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น
     
       4. หลีกเลี่ยงสารปรุงแต่ง : งานวิจัยนักเรียน 1 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาเผยว่า นักเรียนที่ทานอาหารกลางวันปราศจากสารกันบูด สารปรุงแต่งรสและสี ทำคะแนนทดสอบไอคิวได้ดีกว่านักเรียนที่ทานอาหารกลางวันที่มีส่วนผสมของสารดังกล่าวถึง 14%
     
       จึงเป็นการยืนยันว่า การรับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติ ไม่เพียงส่งผลดีต่อร่างกาย แต่ยังช่วยยกระดับเชาว์ปัญญาให้ดีขึ้นด้วย
     
       5 .สารต้านอนุมูลอิสระ : ควรทานอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของโมเลกุลสารอื่นๆในร่างกายได้ ทำให้มีสมาธิ แก้ไขปัญหาได้ดี รวมถึงความจำดีขึ้น
     
       สารต้านอนุมูลอิสระมีมากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ถั่วแดง มะม่วงสุก มะเขือเทศ กล้วยไข่ เป็นต้น
     
       6. อาหารเช้า : ไม่เพียงอาหารมื้อเช้าจะเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวันแล้ว มันยังเป็นมื้ออาหารที่ดีที่สุดของสมองอีกด้วย คนที่ทานอาหารเช้าทุกวัน จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในเรื่องสมาธิ ความจำ ความคิดสร้างสรรค์ และพฤติกรรมโดยรวม
     
       7. เนื้อสัตว์และปลา : อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไร้ไขมันและปลา คือ แหล่งสารครีเอทีน (เป็นตัวเก็บพลังงานความไวสูง) ชั้นดีของร่างกาย ซึ่งช่วยให้ความจำและสติปัญญาดี มีรายงานว่า บรรดานักกีฬาและนักเรียนนิยมทานอาหารเสริมที่มีครีเอทีนสูง เพื่อให้สุขภาพใจและกายสมบูรณ์แข็งแรง
     
       อย่างไรก็ดี ครีเอทีนที่ได้จากเนื้อสัตว์และปลา มีประโยชน์ต่อร่างกายและสมองของเรามากที่สุด
     
       8. โสม : เป็นอาหารที่บริโภคกันมาช้านานในประเทศแถบเอเชีย เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และทำให้ความจำดีขึ้น และมีการวิจัยที่ยืนยันว่า การรับประทานโสมช่วยปกป้องสมอง จากโรคระบบประสาทเสื่อม เช่น โรคพาร์กินสัน เป็นต้น
       
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 138 มิถุนายน 2555 โดย ประกายรุ้ง)

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น