@ติดต่อ mcu_53@hotmail.com@ @ขออภัยกำลังปรับปรุง@

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พระพุทธศาสนา กับวิกฤตการณ์ผู้นำทางสังคม

พระพุทธศาสนา
กับวิกฤตการณ์ผู้นำทางสังคม

พระณัฐพร  กุสลจิตฺโต
ครุศาสตร์ ปี 3
ปัญหาสังคมไทยในปัจจุบันเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกลงสู่รากแก้วแห่งหุบเหวทางจิตวิญญาณของประชาชนคนไทย ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางความคิดความเห็นของกลุ่มบุคคลที่ต่างเห็นว่าความคิดและการกระทำของตนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด  เที่ยงตรงที่สุด  ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นความเห็นที่ผิดเป็นการกระทำที่ผิด  ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นแตกต่างกัน   ต่างฝ่ายต่างไม่หันหน้าเข้าหากัน ไม่พูดคุยกันเพื่อปรับความเข้าใจหรือเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องร่วมกัน  ทว่า  ทั้งสองฝ่ายกลับมองเห็นอีกฟากฝั่งหนึ่งเป็นศัตรูคู่อริ  คิดแค้นเคืองกัน  บริภาษกันด้วยถ้อยคำอันหยาบคาย  ใช้กำลังประทุษร้าย   พยายามพูดปลุกเร้ามวลชนให้เข้าร่วมอุดมการณ์ที่กลุ่มตนนั้นยึดถือ   ใช้มวลชนในการอ้างความชอบธรรมต่อรองผลประโยชน์จากรัฐ   นอกจากนั้นแล้วยังยุยงมวลชนให้กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายโดยใช้คำว่า  “อารยะขัดขืน”   โน้มน้าวมวลชนของตนว่านี่คือการชุมนุมแบบสันติอหิงสาที่ทั่วโลกยอมรับได้    เป็นการไม่เบียดเบียนใคร  เป็นหนทางแห่งชัยชนะ  เป็นหนทางที่ผู้เจริญแล้วทำกัน  ที่สำคัญได้นำคำว่าประชาธิปไตยมาเรียกร้อง  แต่ในความเป็นจริงแล้วหลักการและวิธีการดังกล่าวส่งผลกระทบเสียหายให้คนหมู่มาก ซึ่งจากหลายเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้เขียนในฐานะที่เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนาผู้มีอุดมการณ์ทางความคิดประการหนึ่งว่า  อยากเห็นสังคมที่ตนได้ร่วมชายคาอาศัยนั้นมีความสงบสุข ประชาชนภายในชาติมีเมตตาอารี ให้อภัยซึ่งกันและกัน  ที่สำคัญอยากให้ประชาชนชาวไทยรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญความจริงและความถูกต้องในการแก้ไขปัญหามากกว่าการใช้กำลังประทุษร้าย   ประพฤติตนให้สมกับที่ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ผู้เขียนใคร่ขอนำหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาเทียบเคียงกับวิกฤตการณ์[๑] ดังกล่าว พร้อมทั้งพยายามหาแนวทางในการแก้ไขตามหลักพุทธวิธีที่ผู้เขียนเห็นว่าสอดคล้องกันกับสภาพความเป็นจริง

สังคมปมปัญหา
ในช่วงสถานการณ์การเมืองร้อนระอุ ประชาชนตกอยู่ในสภาวะจิตถดถอย จากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง  การเกิดสงครามขนาดย่อมกลางเมืองกรุง  เหตุการณ์นองเลือดของคนไทย ที่ตกต้องผืนแผ่นดินโดยน้ำมือของคนชาติเดียวกันเอง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีต้นเหตุมาจากปัญหาความขัดแย้งของบุคคลสองกลุ่มเป็นสำคัญ  จนเป็นบ่อเกิดให้ปัญหาทางการเมืองที่หมักหมมมานานได้ปะทุขึ้น  เสมือนหนึ่งว่า ปัญหาความขัดแย้งของบุคคลทั้งสองกลุ่มนั้นเป็นตัวจุดระเบิดให้ปัญหาการเมืองระเบิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญหาทั้งหลายทั้งปวง  เกิดจากผู้นำทางความคิดหรือเรียกให้ร่วมสมัยก็คือ  “แกนนำ”  เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างแบบสุดโต่ง (หรืออีกนัยหนึ่ง  มีอุดมการณ์เหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่วิธีการ) คอยปลุกปั่นมวลชนให้มีความคิดความเห็นตามที่ตนเชื่อและยึดถือ โดยอ้างเหตุผลนานัปการทั้งที่จริงบ้าง  ปรุงแต่งขึ้นบ้าง  มาแสดงให้กับผู้ฟังหรือผู้ร่วมชุมนุมได้เห็นพ้องกับทัศนะของตนเอง  เพื่อทำให้ผู้ชุมนุมมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมเป็นแนวทางเดียวกัน  เมื่อมวลชนมีอุดมการณ์ร่วมกันแล้ว  ทำให้มวลชนเกิดความเข้มแข็ง ผู้ร่วมชุมนุมก็จะทำตามผู้นำโดยไม่มีเงื่อนไข  หลังจากนั้นผู้นำจะนำพาให้เป็นไปในแนวทางที่ตนต้องการได้โดยง่าย  ไม่ว่าหนทางและวิธีการนั้นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม  ขอเพียงให้มีกฎหมู่เป็นกลไกเท่านั้นเป็นพอ  เพราะแกนนำคิดกับผู้ร่วมชุมนุมแค่หมากตัวสำคัญในการเข้าถึงเป้าหมายที่ได้วางไว้เท่านั้นเอง
ผู้นำในเรือนธรรม
จริงอยู่ที่สังคมและประเทศชาติต้องการผู้นำ  แต่ก็ต้องการผู้นำที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีวุฒิภาวะ  นำพาไปในทางที่ชอบธรรม  คอยหาวิธีในการช่วยเหลือสังคม  เสียสละเพื่อส่วนร่วม  ในทางตรงกันข้าม  ถ้าผู้นำขาดความชอบธรรม  ไร้ซึ่งวุฒิภาวะ  นำพาไปในทางเสื่อม  ผู้ตามก็จะตกกระไดพลอยโจนไปด้วย  เนื่องจากต้องตกอยู่ในสถานการณ์บังคับให้ต้องเลือกข้าง  บทบาทของผู้นำจึงเป็นบทบาทสำคัญที่สังคมไทยต้องการ  หลักทศพิธราชธรรม (การบริหารบ้านเมือง) และหลักธรรมาภิบาล (GOOD GOVERNANCE) จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันอย่างกว้างขวาง  ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมากที่เรามีพระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัวที่ทรงทศพิธราชธรรม  แต่เรากลับมีนักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอรัปชั่น    ภาวะผู้นำหรือผู้นำที่สังคมไทยต้องการและจำเป็นต้องมีนั้น ควรมีลักษณะอย่างไรจึงจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญและสงบสุขได้
ในที่นี้ผู้เขียนขอเสนอหลักปฏิบัติของผู้นำ ๑๐  ข้อ แบบร่วมสมัยที่ผู้เขียนเชื่อว่าผู้นำประเทศทุกยุคทุกสมัยนำไปใช้ได้  เพียงแต่ว่าต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงมิใช่แค่อยู่ในหน้ากระดาษเท่านั้น  กล่าวคือ
๑)      เป็นผู้ให้  ไม่ใช่ผู้กอบโกย  (ทานํ)
๒)    เป็นผู้มีจริยธรรม  คือมีความประพฤติที่ถือเอาเป็นต้นแบบได้  (สีลํ)
๓)    เป็นผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน  (ปริจฺจาคํ)
๔)    เป็นผู้มีสุจริตโปร่งใส  (อาชฺชวํ)
๕)    เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน  ดังหนึ่งเป็นข้าช่วงใช้ของประชาชน  (มทฺทวํ)
๖)     เป็นผู้ฝึกตนให้ลอยพ้นเหนือผลประโยชน์และอคติทั้งปวง  (ตปํ)
๗)   เป็นผู้ไม่ลุแก่อำนาจ  (อกฺโกธํ)
๘)    เป็นผู้ไม่เบียดเบียนประชาชนทั้งโดยอำนาจ/กฎหมาย/ภาษีที่ไม่ชอบธรรม      (อวิหิงฺสา)
๙)    เป็นผู้อดทนต่องานหนัก/ต่อการวิพากษ์วิจารณ์/ต่อการยั่วยุให้ลุแก่อำนาจ  (ขนฺติ)
๑๐)             เป็นผู้ถือธรรม  (นิติธรรม/เนติธรรม/สัจธรรม)  เป็นอำนาจเป็นธงชัย       ในการบริหารราชการแผ่นดิน (อวิโรธนํ)[๒]
ในเมืองไทยของเรานั้น ชอบอ้างนักว่าธรรมะไม่เกี่ยวกับการเมือง คนที่นิยมกล่าวอ้างเช่นนี้  แสดงว่าขาดความรู้ทั้งทางธรรมและทางการเมืองเพราะในความเป็นจริงนั้น  ธรรมะจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเมือง  เนื่องจาก  “การเมืองที่ไม่มีธรรมะ  ก็เท่ากับประเทศชาติไม่มี

ความเจริญ”  เพราะเมื่อนักการเมืองไม่มีธรรมะ  เขาจะนำพาเอาประเทศชาติฉิบหายไปด้วย  มีนักการเมืองคนหนึ่งได้กล่าวออกสื่อว่า  “ผมไม่ได้รับมอบหมาย  ให้มาพูดเรื่องจริยธรรม”  ประโยคนี้ถือเป็นประโยคทองที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า  ความเป็นผู้นำของนักการเมืองไทยบางคนไม่ได้ผูกโยงกับหลักของศีลธรรมอันดีงาม  เมื่อนักการเมืองเลือกที่จะปฏิเสธการยอมรับศีลธรรมฉันใด  นั่นก็แสดงให้เห็นว่า  นักการเมืองเลือกที่จะยอมรับการทุจริตคอรัปชั่นว่าเป็นเรื่องปกติวิสัยฉันนั้น  หากประเทศไทยมีนักการเมืองหรือผู้นำที่ปราศจากธรรมะเป็นแนวทางในการทำงานแล้ว  ประเทศไทยย่อมมีโอกาสสูงที่จะตกต่ำไปมากกว่านี้  ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับนานาชาติ  เพียงแค่หยิบยกเรื่องจริยธรรมมาเป็นเครื่องชี้วัดระดับความโปร่งใส  ประเทศไทยก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
เมื่อประมวลปัญหาต่างๆแล้ว รากเง้าแห่งปัญหานั้นก็หนีไม่พ้นอกุศลมูล    ที่ทำร้ายสังคมไทยเรามาอย่างยาวนานและเพิ่งเห็นชัดเจนเมื่อปัญหานั้นปะทุขึ้นมา  ได้แก่[๓]
๑)      ความโลภ       หรือ   ความอยากไม่รู้จักจบสิ้น
๒)     ความโกรธ      หรือ  ความลุแก่อำนาจ
๓)     ความหลง       หรือ  กระบวนทัศน์การพัฒนาคนหรือประเทศที่ผิดพลาด
กิเลส    ตัวนี้ บางทีมีสรรพนามว่า  ตัณหา  มานะ  ทิฐิ  หากนำมาประยุกต์ให้ร่วมสมัย  ก็จะพบว่า  ไม่ใช่กิเลสตัวใหม่แต่อย่างใดในสังคมไทย  เพราะแท้จริงแล้ว
๑)     ตัณหา   ก็คือ  ระบบทุนนิยม  (กำไรสูงสุด/กระตุ้นให้อยาก-ยั่วให้ซื้อเกินจำเป็น)
๒)    มานะ    ก็คือ  ระบบอำนาจนิยม  (บ้าอำนาจ/โลกาภิวัตน์/ชาตินิยม)
๓)    ทิฐิ ก็คือ ระบบทุนนิยม(ความมั่งคั่งพรั่งพร้อมทางวัตถุคือคำตอบสุดท้ายของชีวิต)
พระพุทธเจ้าในฐานะผู้นำ
       การได้ศึกษาพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าผ่านพระไตรปิฎก  ทำให้เราได้ทราบคุณสมบัติความเป็นผู้นำมาด้วยโดยปริยาย  คุณสมบัติเหล่านั้นแทรกแฝงอยู่ในทุกเหตุการณ์

ทุกเรื่องราว  ไม่ใช่เรื่องที่จะไปถามผู้นำว่า  คุณสมบัติที่ดีของผู้นำคืออะไร  เป็นเรื่องของผู้มองจากภายนอกที่จะต้องสรุปเองว่าคุณสมบัติใดบ้างที่คนๆหนึ่งมี ที่ทำให้เขามีความเป็นผู้นำ 
       พระพุทธเจ้าเคยถูกประทุษร้ายทั้งทางกายและวจีกรรม  เช่น  ถูกท้าทายลองดีโดยพวกต่างลัทธิ  ถูกยั่วยุให้โกรธหรือให้ละทิ้งความตั้งใจ  ถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยผู้มีจิตริษยา  ถูกปองร้ายโดยผู้ใกล้ชิด  ในการบริหารงานภายใน บางครั้งก็มีภิกษุหัวแข็งไม่เชื่อฟัง  ทะเลาะกันเองให้วุ่นวาย  หรือแม้กระทั่งมีผู้คิดจะแบ่งแยกสงฆ์ออกเป็นสองฝ่าย  พระพุทธองค์ทรงใช้วิธีการต่างๆกันในการแก้ปัญหา  ขึ้นอยู่กับโอกาสและลักษณะของปัญหา  เช่น 
       การกล่าวร้ายป้ายสีของพวกลัทธิอื่นในกรุงสาวัตถี  หรือการรุมด่าว่าที่ทรงประสบในกรุงโกสัมพี  ทรงใช้วิธีกล่าวเตือนสติแต่ไม่โต้ตอบ  เรื่องร้ายก็คลายไป
       การทะเลาะกันเองของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี  เมื่อพระพุทธเจ้าห้ามแล้วไม่มีภิกษุฝ่ายใดยอมฟัง  ก็เสด็จปลีกพระองค์ออกไปอยู่ป่า  จนกระทั่งชาวเมืองหันมาประท้วงพระภิกษุผู้ช่างทะเลาะ เหตุที่ไม่พอใจเพราะพระภิกษุเหล่านี้ทะเลาะกันจนทำให้พระพุทธเจ้าหลีกพระองค์ไปอยู่ป่า เมื่อภิกษุเหล่านั้นสำนึกได้  เรื่องจึงคลี่คลายลง
       การวางท่าทีต่อคำถามของวัสสการพราหมณ์  ซึ่งถามเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การเมือง  พระองค์ชี้ให้เห็นยุทธศาสตร์ความเข้มแข็งของแคว้นวัชชี  หมายความว่า  แทนที่พระพุทธองค์จะตรัสว่ายุทธศาสตร์การรบคืออะไร  พระองค์กลับว่า  การจะสร้างเมืองให้เข้มแข็งต้องทำอย่างไร เพราะเมื่อชุมชนเข้มแข็งแล้ว ทุกอย่างไม่ว่า  ด้านการศึกษา  สังคม   การเมืองการปกครอง  เศรษฐกิจ  ก็เข้มแข็งไปด้วย  เมื่อเป็นเช่นนั้น  จะไม่มีใครสามารถทำลายได้  หรือจะไปทำลายเขาก็ไม่ได้  โดยชี้ให้วัสสการพราหมณ์เห็นตัวอย่างและเข้าใจในยุทธศาสตร์ความเข้มแข็งนั้น ผ่านการสนทนากับพระอานนท์ถึงอปริหานิยธรรมที่ชาวแคว้นวัชชีถือปฏิบัติอยู่ 
การศึกษาปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า   ดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้  ในภาพรวมเป็นเครื่องเตือนให้เห็นว่าแม้แต่พระศาสดาผู้เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณก็ยังประสบปัญหานานาประการจากบุคคลที่ยังมีกิเลสครอบงำจิตใจ   พระองค์ทรงใช้พระปรีชา

ญาณในการแก้ไขปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดีพร้อมทั้งยังชี้แนะแนวทางสันติสุขให้กับประชาชนด้วย
การหันมาดูพุทธวิธีในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ  ซึ่งพระพุทธองค์ทำด้วยปัญญาคุณ  และพระมหากรุณาคุณ  อาจจะทำให้ผู้นำตัดสินใจในเรื่องต่างๆโดยใช้อารมณ์น้อยลง  มีสติและความรอบคอบมากขึ้น  ทว่า  เราต้องไม่ลืมว่าการกระทำต่างๆของพระพุทธเจ้า  มิได้ใช้วิธีการอันมิชอบตามทำนองคลองธรรม  พุทธวิธีเป็นวิธีที่มีพระบริสุทธิคุณรองรับอยู่  การที่ผู้นำยังมีกิเลสอยู่  ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะล้มเลิกความตั้งใจใช้พุทธวิธีเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ  แต่ควรจะเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้เท่าทันระมัดระวัง  และพยายามลดกิเลสลงบ้าง  ลดความเห็นแก่ตัวลงบ้าง  มองผลที่จะเกิดกับประชาชน และสังคมโดยรวมให้มากขึ้น  โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในฐานะผู้นำ ควรยึดหลักธรรมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ  ก่อนที่ปัญหานั้นๆจะเปลี่ยนระดับกลายเป็นวิกฤติของคนในชาติ  ถ้ากระทำได้เช่นนั้น  ผลของการกระทำอันดีงามและเที่ยงตรงก็ไม่สูญหายไปไหนแน่นอน ผลจากการกระทำนั้นจะส่งผลย้อนกลับมาเป็นความเจริญอย่างยั่งยืน  ความสงบร่มเย็นของประชาชนภายในชาติ  รวมทั้งความสงบสุขในสังคมโลกสืบไป










บรรณานุกรม
ว.วชิรเมธี. การเมืองเนื่องในธรรม. กรุงเทพฯ : กรุงเทพธุรกิจ,๒๕๕๒.
นวพร  เรืองสกุล. ๒๖ ศตวรรษ พระพุทธเจ้าสุดยอด ซี.อี.โอ..
กรุงเทพฯ : บริษัทซีเอ็ดยูเคชั่นจำกัด(มหาชน),๒๕๔๙.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒.
กรุงเทพฯ : นานมีบุคส์ พับลิเคชั่น,๒๕๔๖.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระสุตตันตปิฎก.
กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑


เขียนได้สองวิธี   วิกฤตการณ์ (วิ-กริด-ตะ-กาน) กับ วิกฤติการณ์ (วิ-กริด-ติ-กาน)  เป็นคำนาม  หมายถึง  เหตุการณ์อันวิกฤติ    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒
[๒]ว.วชิรเมธี. การเมืองเนื่องในธรรม. กรุงเทพฯ : กรุงเทพธุรกิจ,๒๕๕๒. (หน้า ๒๖)
[๓] ว.วชิรเมธี. การเมืองเนื่องในธรรม. กรุงเทพฯ : กรุงเทพธุรกิจ,๒๕๕๒.(หน้า ๗๘)

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำ 'แผลแห้ง-แผลเปียก' ถูกวิธี

ทำ 'แผลแห้ง-แผลเปียก' ถูกวิธี


เกร็ดความรู้


เวลาเกิดอุบัติเหตุจนทำให้บาดเจ็บและเป็นแผล สิ่งที่จำเป็นอย่างมากก็คือ การทำแผลเพื่อป้องกันเชื้อโรค และยังถือเป็นการรักษาอาการบาดเจ็บด้วย ทว่าการทำแผลนั้นก็ต้องทำให้ถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพแผล เพื่อให้แผลหายเร็ว และลดความเสี่ยงเกิดอักเสบติดเชื้อ

โดยแผลนั้น มี 2 ประเภท คือ แผลแห้ง เป็นแผลที่มีลักษณะปิด ไม่มีการอักเสบ และไม่มีสิ่งขับหลั่งออกมาจากแผล อีกประเภทเรียกว่า แผลเปียก มีลักษณะเป็นแผลเปิด มีการอักเสบ มีสิ่งขับหลั่งออกมาจากแผล เช่น เลือด น้ำหนอง

การทำแผลและการปิดแผลของแผลแห้งกับแผลเปียกจะต่างกัน ครั้งนี้ขอแนะวิธีทำแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุใกล้ตัว อาทิ หกล้มจนผิวหนังถลอก ถูกของมีคมบาด เริ่มจากการทำแผลแห้ง ให้ใช้สำลีประมาณ 2-3 ก้อน หรือมากน้อยกว่านี้ตามขนาดของแผล ชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดลงที่แผลเบาๆ ด้วยเทคนิคเช็ดให้ชิดขอบแผลและวนออกนอกแผลให้ห่างออกไปอีกราว 2-3 นิ้ว จากนั้นปิดแผลด้วยผ้าก็อสที่ยึดกับผิวด้วยเทปกาวติดแผลหรือแผ่นพลาสเตอร์ โดยติดตามแนวขวางลำตัว

สำหรับการทำแผลเปียก เริ่มด้วยการเช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ 70% เช่นเดียวกับการทำแผลแห้ง ต่อด้วยการใช้สำลีชุบน้ำเกลือ บางครั้งเรียก โซเดียมคลอไรด์ ช่วยในการกระตุ้นการงอกขยายของเซลล์ใหม่และไม่ทำลายเนื้อเยื่อ หรือใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน กรณีที่เป็นแผลถลอก เนื่องจากสามารถฆ่าได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส แต่ด้วยความเข้มข้นของทิงเจอร์ไอโอดีน อาจทำให้ผิวแสบไหม้ได้ ดังนั้น หลังจากใช้ทิงเจอร์ไอโอดีนเช็ดแผลผ่านไป 90 นาที ให้เช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70% เพื่อลดการระคายเคือง

หรืออาจใช้เบตาดีนแทนทิงเจอร์ไอโอดีนได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ที่อ่อนกว่า และไม่ทำปฏิกิริยาต่อสิ่งขับหลั่ง กรณีที่แผลเปียกมีความสกปรกมาก และมีสิ่งขับหลั่งพวกหนองหรือลิ่มเลือด ควรใช้น้ำยาไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

ในขั้นตอนการนำสำลีไปชุบน้ำยาที่กล่าวไปนี้ เพื่อเช็ดแผลก็เพื่อฆ่าเชื้อโรค ดูดซับสิ่งขับหลั่ง ให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ

ปิดท้ายการทำแผลเปียกด้วยการใช้ผ้าก็อสหุ้มสำลีเพื่อซับสิ่งขับหลั่ง ยึดติดกับผิวหนังรอบๆ ด้วยเทปกาวติดแผลหรือแผ่นพลาสเตอร์ โดยติดตามแนวขวางลำตัวเช่นกัน.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=152103

'นวด' จนน่วม! อ่วมเพราะรักสบาย

'นวด' จนน่วม! อ่วมเพราะรักสบาย


มุมสุขภาพ


‘สามัญประจำบ้าน’ สัปดาห์นี้ มีเรื่องราวควรรู้เกี่ยวกับการนวดแก้ปวดเมื่อยที่หลายๆ คนชื่นชอบกันนัก แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้เลยว่า การนวดก็มีอันตราย หากไปกดทับกระแทกถูกอวัยวะสำคัญบางแห่ง อาจทำให้บาดเจ็บได้ทีเดียว เรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลมาบอก...

ในสากลโลกก็มีการปรนเปรอเพื่อ “เติมเต็ม” ความรักนี้อยู่หลายแบบ มีอยู่แบบหนึ่งที่ช่วยให้เต็มได้ง่ายและทำให้คนติดกันงอมแงมไปทั้งบ้านเมืองด้วย นั่นคือ การใช้สัมผัส เข้าช่วยครับ

สำหรับบางคนอาจเรียกว่า “การนวด” แต่ที่จริงแล้วมีมากกว่านั้น เช่น การกอดก็เป็นการช่วยเติมรักที่ดี แม้คนไทยจะไม่มีวัฒนธรรมกอดแต่การจับมืออย่างเห็นใจ หรือมารดาใช้มือลูบไล้ลูกน้อยด้วยความรักเปี่ยมหัวใจนั้นก็ยิ่งใหญ่ช่วยไล่ โรคภัยได้มาก ทางอายุรวัฒน์เรียก “สัมผัสบำบัด”

ในคนไทยต้องจัดให้เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่แห่งการสัมผัสบำบัดโดยเฉพาะเรื่องนวดที่พูดขึ้นมาต้องนึกถึงเมืองไทยก่อน อย่างตอนที่อดีตประธานาธิบดีจิมมี คาเตอร์ มาทางเหนือก็ว่ากันว่าท่านชื่นชมการนวดจับเส้นแบบไทยมาก นวดไทยทำได้ตั้งแต่แก้เมื่อย,แก้นิ้วล็อคและยุคนี้มีถึงนวดเสริมอึ๋มในสตรี ที่กำลังนิยม รวมความแล้วการนวดเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยปฏิเสธกันนัก

ศาสตร์การนวดเป็นของดีนะครับ ช่วยคนไข้ให้รอดจากผ่าตัดและหายจากโรคมาได้มากมาย จากประสบการณ์ผ่านมาก็ได้เห็นหลายรายอยู่ครับ แต่ด้วยความรู้ในเรื่องนวดผมยังน้อยไม่เท่ากับผู้ที่เชี่ยวชาญแล้ว แต่ก็รู้สึก “ทึ่ง” ทุกครั้งยามได้เห็นกรรมวิธีนวดที่มีกายวิภาคตามแบบของเขา

เป็นต้นว่า ปวดหลังแต่กดท้องเพื่อช่วยลดอาการปวด หรือนวดแล้วดัดพร้อมกับประคบแล้วผู้ป่วยก็หายปวดได้ในบัดดล น่าค้นคว้าเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องของเรื่องคือเพราะรูปหล่อพระฤาษีในท่าดัดตนต่างๆนั้นมีอยู่ไม่หมดครับ ด้วยหล่อไว้นานกาเลเต็มทีอย่างฤาษีดัดตนที่เหลืออยู่บ้างนี้คือหล่อเอาไว้ แต่ครั้งแผ่นดินพระนั่งเกล้าฯ ก็ชำรุดและหายหกตกหล่นไป ทำให้ได้ท่าทางไม่ครบ ต่อกันไม่ติด ท่าที่เหลือจะบิดอย่างไรดัดอย่างไรก็อาศัยคิดวิเคราะห์เอาเองบ้าง อนุมานเอาเองบ้าง และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะครูโบราณท่าน “หวง” ด้วยครับ อย่างตำรายาวัดโพธิ์ครั้งพระนั่งเกล้าฯทรงมีพระบัณฑูรให้หมอหลวงทั่วแผ่นดิน มาช่วยกันชำระและจารึกไว้ก็ไม่ได้บอกรายละเอียด

-@- 4 ที่เสี่ยง เดี้ยงจากนวด -@-


การนวดให้ดีต้องมีครูและที่สำคัญอีกประการคือต้องรู้ “กายวิภาค” คืออะไหล่ร่างกายมนุษย์นี้ให้ดี ไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยนนะครับ

ถ้านวดเพี้ยนไปจากตำราอาจเป็นการเพิ่มโรคแก่ผู้มานวดมากกว่าช่วยบำบัด ในส่วนของอวัยวะที่เป็น “จุดอ่อน” ของการนวดมีอยู่หลายส่วน ทั้งท่านที่ชอบนวดและไม่เคยนวดก็ควรรู้ไว้บ้างครับว่าบริเวณใดที่ทำให้เกิด นวดน่วมรวมฮิตได้เพราะในบางครั้งนอกจากไม่มีให้เปลี่ยนแล้วยังอาจต้องนั่ง รักษากันยาว

อวัยวะที่ไม่ควรเอาไปจำนำไว้กับฝ่ามือฝ่าเท้าใครมีดังต่อไปนี้ครับ...


"คอ" ระวังให้ดีที่สุดเพราะเป็นจุด “ชุมสาย” เส้นประสาทและเส้นเลือด ถ้าถูกทุบถูกขยำจนย่ำแย่เสียที่ศูนย์ใหญ่แล้ว ใต้คอลงไปเป็นไร้ความรู้สึกได้เลยนะครับ สำหรับคอขอให้นวดอย่างเบามือและถ้ารู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวหรือมีอาการชาแบบแปลกๆเมื่อไรขอให้รีบบอกทันทีเลยครับ

"ศีรษะ" ทราบกันดีที่สุดว่าเป็นจุดสำคัญแม้มันจะมีกะโหลกหุ้มอยู่แต่บางท่าของการนวด อย่างใช้สันมือทุบต้นคอจนกระเทือนไปถึงท้ายทอยอย่างรุนแรงมีสิทธิ์ทำให้เลือดตกในสมองได้(Subdural hematoma)โดยเฉพาะในผู้อาวุโสจะเสี่ยงมากกว่าครับเพราะสมองอยู่ในสภาพฝ่อจึงแกว่งไปมาได้มากกว่า

"สันหลัง" เหมือนกับลำไม้ไผ่ท่อนเดียวที่เกี่ยวยึดให้ร่างกายเราตั้งตรงอยู่ มาคู่กับอันตรายเวลาบิดหรือเอี้ยวกายผิดไปนิดมีสิทธิ์ปวดยาวเรื้อรัง ท่าต้องห้ามสำหรับสันหลังคือ “เหยียบ” หรืองอแล้วบิดเอี้ยวเพราะทำให้หมอนรองกระดูกถูกแรงกดมหาศาลจนทานไม่ไหว

"มดลูก(ท้องน้อย)"
ส่วนภายในที่อ่อนนุ่มที่สุดของสตรีแต่ไม่มีกระดูกมาช่วยคลุมทำให้เกิดรูโหว่ ที่แรงกดโผล่ไปเบียดบีบมดลูกจนเลือดออกได้ ยิ่งในผู้มีถุงน้ำรังไข่,ก้อนเนื้องอกมดลูกหรือในกรณีเลวร้ายสุดคือ “ตั้งครรภ์” โดยไม่ทราบมาก่อนการนวดอาจทำให้ตกเลือดช็อคได้

แม้จะฟังดูน่าเสียวไส้ แต่ที่เล่ามาทั้งนี้ไม่ได้ให้ท่านหนีการนวดนะครับ เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่อารัมภบทให้เห็นอานิสงส์การนวดที่บำบัดโรคได้มาก เพียงแต่การทำหัตถการเช่นว่าอย่าชะล่าใจว่าเป็นแค่บีบเค้นไม่เป็นไร

ขอให้เคล็ดควรจำสำหรับผู้ถูกนวดไว้สักนิด 3 อย่างคือ เจ็บให้บอก,ต้องออกชื่อโรค และโบกมือให้หยุด

ข้อแรกหมายความว่า การนวดที่ดีไม่จำเป็นต้องเจ็บก่อนแล้วจึงสบาย เพราะมันอาจกลายเป็น “ทำลาย” ก็ได้ ส่วนข้อสองที่ต้องบอกชื่อโรคกับหมอเพราะโรคประจำตัวบางโรคเป็นอันตรายต่อการ นวดได้อาทิ ความดันโลหิตสูง,กระดูกทับเส้นประสาทอยู่ มีหมอนรองกระดูกไม่ดีหรือมีเหล็กดาม เป็นต้น อย่างนี้ผู้นวดจำเป็นต้องรู้ ซึ่งถ้าเราไม่บอกจะไปโทษเป็นความผิดผู้นวดไม่ได้ช่วยกันคนละมือละไม้จะได้ ปลอดภัย.
 
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=460&contentId=143653

น้ำผึ้งแก้ไอได้

น้ำผึ้งแก้ไอได้


มุมสุขภาพ


ไอ ทานยาเท่าไรก็ไม่หายสักที มีทางเลือกอีกหนึ่งวิธีในการช่วยบรรเทา ลอง "น้ำผึ้ง" ดูสิ

อาการไอ นอกจากไม่ดีต่อสุขภาพตนเองแล้ว ยังสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นอีกด้วย อีกทั้งเป็นแต่ละทีก็นานแสนนานกว่าจะหาย ทานยาเม็ดก็แล้ว ยาน้ำก็แล้ว ก็ยังไออยู่ ลองใช้วิธีต่อไปนี้เป็นทางเลือกในการรักษา

ให้ลองมองหาน้ำผึ้ง อาหารตามธรรมชาติ หาซื้อไม่ยาก รสชาติอร่อย แค่บีบมะนาวฝานสด ๆ หนึ่งเสี้ยวเข้าปากให้ลงลำคอ แล้วจิบน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ อมไว้สักครู่แล้วค่อยกลืน แก้ไอได้ดีมาก

แต่ถ้าต้องการเก็บไว้จิบระหว่างวัน ให้เตรียมน้ำผึ้งและน้ำมะนาว ในอัตราส่วน น้ำผึ้ง 3-4 ส่วน ต่อ น้ำมะนาว 1 ส่วน แล้วนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวบนเตาไฟ เมื่อเดือดแล้วทิ้งไว้ให้เย็น เสร็จแล้วค่อยเติมน้ำมะนาวลงไปตามสัดส่วนที่กำหนด วิธีนี้สามารถนำน้ำผึ้งเก็บใส่ขวด เพื่อเก็บไว้จิบแก้ไอได้บ่อย ๆ ตามที่ต้องการ เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย

ถ้าหากมีอาการไอเรื้อรัง ลองสูตรดังต่อไปนี้ ใช้น้ำผึ้งประมาณ 500 กรัม และขิงสดประมาณ 1 กิโลกรัมครึ่ง คั้นขิงสดเอาแต่น้ำ นำมาผสมกับน้ำผึ้ง ต้มจนแห้ง รับประทานในปริมาณขนาดเท่าลูกอม 1 เม็ด จะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรังได้

ผลงานวิจัยพบว่าน้ำผึ้งแท้สามารถบรรเทาอาการไอจากหวัดได้ดีกว่ายาแก้ไอที่มี จำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไปด้วยซ้ำ สาเหตุที่ทำให้น้ำผึ้งบรรเทาอาการไอได้นั้น เนื่องมาจากน้ำผึ้งทำให้ลื่นคอและรู้สึกผ่อนคลายที่ลำคอ แต่มีข้อควรระวังว่า ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี.
 
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=147772

วิธีถนอมดวงตาหน้าคอมพิวเตอร์

วิธีถนอมดวงตาหน้าคอมพิวเตอร์


มุมสุขภาพ


เช็ค “ดวงตา” ถูกใช้งานอย่างหักโหมหรือไม่?!! พร้อมวิธีแก้ไขควรปฏิบัติ ช่วยถนอม “สายตา” ยามนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์

นักศึกษายุคไอทีที่ต้องหาข้อมูล ทำการบ้าน หรือพิมพ์รายงานผ่านคอมพิวเตอร์นานหลายชั่วโมง หากรู้สึกตาแห้ง แสบ พร่ามัว ปวดกระบอกตา หรือเห็นแสง-สีผิดจากปกติ นั่นเป็นสัญญาณของการจ้องจอคอมฯ นานเกินไป แม้ไม่อันตราย แต่บั่นทอนประสิทธิภาพการเรียนรู้ ดังนั้น เพื่อดวงตาคู่สวยทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพไปนาน ๆ จึงต้องหมั่นถนอมด้วยวิธีต่อไปนี้

1.จอคอมพิวเตอร์ควรห่างจากสายตาประมาณ 1 ช่วงแขน และปรับจุดกึ่งกลางจอคอมฯ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20 องศา เป็นระยะที่ช่วยลดอาการเมื่อยเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ หลัง และคอได้

2.ปรับแสง และความคมชัดหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา โดยไม่ต้องเพ่ง ควรพิจารณาแสงไฟในห้องด้วยว่า เมื่อส่องกระทบหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้ว จ้าเกินไปหรือไม่ เพราะจะทำให้ดวงตาเมื่อยล้า แห้ง และแสบได้ง่าย นอกจากนี้ ควรติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง

3.พักสายตาทุก 30 นาที โดยหลับตา หรือมองไปไกล ๆ ประมาณ 5 นาที อาจใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ประคบดวงตา ประมาณ 2-3 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี

4.ควรกระพริบตาให้บ่อยขึ้น เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ช่วยลดอาการแสบตา ตาแห้ง และความอ่อนล้าของดวงตาได้ ทั้งนี้ ผลการวิจัยในต่างประเทศพบว่า การนั่งจ้องคอมฯ เป็นเวลานาน อัตราการกระพริบตาจะลดลงโดยไม่รู้ตัว ถึงร้อยละ 60

5.สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ มักตาแห้งได้ง่าย กรณีนี้การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยบรรเทาอาการปวด และแสบตาได้ แต่ควรใช้เมื่อมีอาการ

6.ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ เพราะฝุ่นที่หนาจะทำให้แสงสะท้อนเข้าตาได้มากขึ้น

แม้การใช้งานคอมพิวเตอร์ โดยจ้องจอคอมพิวเตอร์ ไม่ ควรเกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน จะเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ยากสำหรับหนุ่ม-สาวยุคไอที แต่สามารถถนอมดวงตาได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีข้างต้น เพียงหมั่นปฏิบัติให้เป็นนิสัย เพื่อสายตาได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพนานที่สุด.
  http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=651&contentID=154679

โครงสร้าง

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันแม่

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สอบวิชาพัฒนาหลักสูตร

กำหนดสอบวิชาการพัฒนาหลักสูตรวันที่ 09/08/54









ประกาศวันที่ 06 / 08 / 54 

ทราบพอกัน

พระมหาจรัญ  ฐิตโสมนสฺโส

หัวหน้าห้อง

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมเสริมหลักสูตร



ด้วยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนวัดโสธรวราราม 
ได้กำหนดจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรให้นิสิต 
ในวันอังคารที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔  
ณ ห้องประชุมอาคารพระพรหมคุณาภรณ์  มจร. ห้องเรียนวัดโสธรวราราม  
ในกิจกรรมได้กำหนดให้มีการบรรยายพิเศษ เรื่อง  
วิสัยทัศน์และพันธกิจของมหาจุฬาฯ กับทิศทางการศึกษ
คณะสงฆ์ไทยในยุคไอที
โดย  พระธรรมโกศาจารย์  อธิการบดี
เพื่อให้นิสิตได้มีประสบการณ์ วิสัยทัศน์และความรู้จากวิทยากรผู้บรรยายในกิจกรรมดังกล่าว
 
 
 
 
 
ประกาศจากคณะฝ่ายกิจกรรมของห้องเรียนครุศาสตร์ปี 2
ณ วันที่ 06 / 08 / 54

เสนอคณะกรรมการห้องทุกรูป เกี่ยวกับชมรม

     ใครมีชื่อชมรมก็เสนอได้ตรงนี้เลยนะคับประชุมครั้งหน้ากระผมจะได้จัดเอกสารถูกต้องเพื่อแจ้งให้ทุกท่านทราบต่อไป




ประกาศ ณ วันที่ 6 / 08 / 54

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สอบวิชาภาษาศาสตร์

กำหนดสอบวิชาภาษาศาสตร์

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2554

ประกาศ วัน อังคาร ที่ 26 กรกฎาคม 2554


สอบวิชาภาษาอังกฤษ

กำหนดสอบวิชาภาษาอังกฤษ

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2554

ประกาศ วัน อังคาร ที่ 26 กรกฎาคม 2554

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กลุ่มงานบริหารงานงบประมาณ

คณะกรรมการฝ่ายบริหารงานงบปรมาณ

พระพรหมพิริยะ  ถาวโร
หัวฝ่ายงบประมาณ
โทร. 083-4218385  e-mail : mcu_5339202027@hotmail.com


พระกิตติศักดิ์  กิตติวํโส
กรรมการ
โทร. 085-2153846  e-mail : mcu_5339202015@hotmail.co.th


พระมหายุทธชัย  อุบัวบล
กรรมการ
โทร. 084-4202055  e-mail : -




พระมหาเชษฐา  อินทริง
กรรมการ
โทร. 089-9412817  e-mail : -




สามเณรศรายุทธ  แก่นพรม
เลขานุการฝ่ายงบประมาณ
โทร. 082-4762528 e-mail : mcu_5339202025@hotmail.com



หน้าที่  
                   ฝ่ายงบประมาณ สาระสำคัญ ควบคุมดูแลการรับจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน  ควบคุมดูแลทรัพย์สินของห้องเรียน  ตรวจสอบการรับจ่ายและเก็บรักษาเงิน  ตรวจสอบทรัพย์สินของเรียน  และงานต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย

กลุ่มงานบริหารงานฝ่ายธุรการ

พระคุณากร  ฐานิสฺสโร
หัวฝ่ายงานบริหารงานธุรการ

โทร. -  E-MAIL :  -






พระเดี่ยว  อาภสฺสโร

กรรมการ

โทร. -  E-MAIL :  -






สามเณรวัลลภ  ดะสมุทร
กรรมการ

โทร. -  E-MAIL :  -




สามเณรวรวุฒิ  จุ่มจันทร์
เลขานุการ

โทร. -  E-MAIL :  -




หน้าที่   คอยดูแลหน้งสือเข้า , หน้งสือออก , นัดหมาย จัดงานเตรียมเรื่องและเตรียมการสำหรับประชุม จดบันทึก และเรียบเรียง

กลุ่มงานบริหารงานทั่วไป

คณะกรรมการฝ่ายบริหารงานทั่วไป


พระธีระศักดิ์  จรณธมฺโม
หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป
โทร. 086-5565088  e-mail : -






พระกิตติศักดิ์  ธีรปญฺโญ
กรรมการ
โทร. 084-763396  e-mail : mcu_5339202003@hotmail.com




พระมหาอรรถพล  จันทร์ลา
กรรมการ
โทร. 088-2211378 e-mail : mcu_5339202012@hotmail.com




พระชยพล  อุทโย
กรรมการ
โทร. - e-mail : -

พระ-
กรรมการ
โทร. -e-mail :-


หน้าที่  บริหารงานทั่วไป สาระสำคัญ อันสมควร ติดต่อ รายงานการประชุมทางวิชาการ และรายงานอื่นๆ ติดตามผลการปฏิบัติตามมติที่ประชุม หรือผลการปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้าหรือมีลักษณะงานที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมและบริหารงานหลายด้านด้วยกัน เช่น งานธุรการ งานวิชาการ งานรวบรวมข้อมูลสถิติ เป็นต้น และปฏิบัติหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้อง  ที่ได้รับมอบหมาย

ติดต่อ

ประชุมประจำเดือน

ขอเชิญสมาชิกนิสิตครุสาสตร์ปี2ร่วมประชุมประจำเดือน

      
          จึงขอให้สมาชิกนิสิตได้เข้าร่วมประชุมกันในวันพุธที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา๐๙.๐๐ น. (ภาคเช้า) ส่วน(ภาคเย็น)เวลา๑๘.๐๐ น.ณ ห้องเรียนชั้น ๔ ห้อง ๔๐๖ อาคารพรหมคุณาภรณ์  เพื่อร่วมกันปรึกษาเรื่องในห้องต่อไป.






พระมหาจรัญ  ฐิตโสมนสฺโส
                         ห้วหน้าห้องครุสาสตร์ ปี๒

กลุ่มบัณฑิตครุศาสตร์ปี ๒ ที่ต้องรวบรวมแนวข้อสอบ

การปกครองคณะสงฆ์ไทย


วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วิชา ธรรมะภาคปฏิบัติ ๓

ทำรายงาน

กายาคตานุสติ ๒๐ หน้าขึ้นไป

ส่งก่อนสอบ

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วิชา การเมืองการปกครองของไทย



วิชา การพัฒนาหลักสูตร



วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตามรอยพ่อวิถีพอเพียง

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตต้องสู้

เมื่อชีวิตผิดหวังอย่านั่งท้อ
จงคิดต่อสู้เถิดจะเกิดผล

ผิดเป็นครูรู้แก้ให้แก่ตน
เกิดเป็นคนต้องต่อสู้อยู่ต่อไป

ล้มแล้วลุกอย่าท้อจงต่อสู้
ให้มันรู้จะแพ้อีกแค่ไหน

ฟื้นแล้วลุกตื้นตัวด้วยหัวใจ
ลุกมาสู้กันใหม่อย่าได้กลัว

ก้าวต่อไปๆ อย่าได้หยุด
แม้สะดุดล้มลงคนยิ้มหัว

เป็นนักสู้ต้องต่อสู้ไม่ต้องกลัว
อย่าทำชั่วให้ตัวหมองก็เป็นพอ

ชีวิตเราไม่ยืนยาวอย่างที่คิด
มีถูกผิดเป็นควรลองของตนหนอ

ทำวันนี้ให้ดีก็เพียงพอ
ชีวิตก็มีค่าน่าภูมิใจ





ล้มเพื่อลุก ปลุกจิต ไม่คิดท้อ
ตะวันทอ แสงใหม่ ไม่หนีหาย
มองแนวทาง แก้ปัญหา มั่นใจกาย
มุ่งจุดหมาย ก้าวสู่ ประตูชัย