พระพุทธศาสนา กับวิกฤตการณ์ผู้นำทางสังคม
กับวิกฤตการณ์ผู้นำทางสังคม
พระณัฐพร กุสลจิตฺโต
ครุศาสตร์ ปี 3
ปัญหาสังคมไทยในปัจจุบันเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกลงสู่รากแก้วแห่งหุบเหวทางจิตวิญญาณของประชาชนคนไทย ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางความคิดความเห็นของกลุ่มบุคคลที่ต่างเห็นว่าความคิดและการกระทำของตนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เที่ยงตรงที่สุด ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นความเห็นที่ผิดเป็นการกระทำที่ผิด ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นแตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างไม่หันหน้าเข้าหากัน ไม่พูดคุยกันเพื่อปรับความเข้าใจหรือเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องร่วมกัน ทว่า ทั้งสองฝ่ายกลับมองเห็นอีกฟากฝั่งหนึ่งเป็นศัตรูคู่อริ คิดแค้นเคืองกัน บริภาษกันด้วยถ้อยคำอันหยาบคาย ใช้กำลังประทุษร้าย พยายามพูดปลุกเร้ามวลชนให้เข้าร่วมอุดมการณ์ที่กลุ่มตนนั้นยึดถือ ใช้มวลชนในการอ้างความชอบธรรมต่อรองผลประโยชน์จากรัฐ นอกจากนั้นแล้วยังยุยงมวลชนให้กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายโดยใช้คำว่า “อารยะขัดขืน” โน้มน้าวมวลชนของตนว่านี่คือการชุมนุมแบบสันติอหิงสาที่ทั่วโลกยอมรับได้ เป็นการไม่เบียดเบียนใคร เป็นหนทางแห่งชัยชนะ เป็นหนทางที่ผู้เจริญแล้วทำกัน ที่สำคัญได้นำคำว่าประชาธิปไตยมาเรียกร้อง แต่ในความเป็นจริงแล้วหลักการและวิธีการดังกล่าวส่งผลกระทบเสียหายให้คนหมู่มาก ซึ่งจากหลายเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้เขียนในฐานะที่เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนาผู้มีอุดมการณ์ทางความคิดประการหนึ่งว่า อยากเห็นสังคมที่ตนได้ร่วมชายคาอาศัยนั้นมีความสงบสุข ประชาชนภายในชาติมีเมตตาอารี ให้อภัยซึ่งกันและกัน ที่สำคัญอยากให้ประชาชนชาวไทยรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญความจริงและความถูกต้องในการแก้ไขปัญหามากกว่าการใช้กำลังประทุษร้าย ประพฤติตนให้สมกับที่ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ผู้เขียนใคร่ขอนำหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาเทียบเคียงกับวิกฤตการณ์[๑] ดังกล่าว พร้อมทั้งพยายามหาแนวทางในการแก้ไขตามหลักพุทธวิธีที่ผู้เขียนเห็นว่าสอดคล้องกันกับสภาพความเป็นจริง
สังคมปมปัญหา
ในช่วงสถานการณ์การเมืองร้อนระอุ ประชาชนตกอยู่ในสภาวะจิตถดถอย จากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง การเกิดสงครามขนาดย่อมกลางเมืองกรุง เหตุการณ์นองเลือดของคนไทย ที่ตกต้องผืนแผ่นดินโดยน้ำมือของคนชาติเดียวกันเอง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีต้นเหตุมาจากปัญหาความขัดแย้งของบุคคลสองกลุ่มเป็นสำคัญ จนเป็นบ่อเกิดให้ปัญหาทางการเมืองที่หมักหมมมานานได้ปะทุขึ้น เสมือนหนึ่งว่า ปัญหาความขัดแย้งของบุคคลทั้งสองกลุ่มนั้นเป็นตัวจุดระเบิดให้ปัญหาการเมืองระเบิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญหาทั้งหลายทั้งปวง เกิดจากผู้นำทางความคิดหรือเรียกให้ร่วมสมัยก็คือ “แกนนำ” เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างแบบสุดโต่ง (หรืออีกนัยหนึ่ง มีอุดมการณ์เหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่วิธีการ) คอยปลุกปั่นมวลชนให้มีความคิดความเห็นตามที่ตนเชื่อและยึดถือ โดยอ้างเหตุผลนานัปการทั้งที่จริงบ้าง ปรุงแต่งขึ้นบ้าง มาแสดงให้กับผู้ฟังหรือผู้ร่วมชุมนุมได้เห็นพ้องกับทัศนะของตนเอง เพื่อทำให้ผู้ชุมนุมมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมเป็นแนวทางเดียวกัน เมื่อมวลชนมีอุดมการณ์ร่วมกันแล้ว ทำให้มวลชนเกิดความเข้มแข็ง ผู้ร่วมชุมนุมก็จะทำตามผู้นำโดยไม่มีเงื่อนไข หลังจากนั้นผู้นำจะนำพาให้เป็นไปในแนวทางที่ตนต้องการได้โดยง่าย ไม่ว่าหนทางและวิธีการนั้นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ขอเพียงให้มีกฎหมู่เป็นกลไกเท่านั้นเป็นพอ เพราะแกนนำคิดกับผู้ร่วมชุมนุมแค่หมากตัวสำคัญในการเข้าถึงเป้าหมายที่ได้วางไว้เท่านั้นเอง
ผู้นำในเรือนธรรม
จริงอยู่ที่สังคมและประเทศชาติต้องการผู้นำ แต่ก็ต้องการผู้นำที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีวุฒิภาวะ นำพาไปในทางที่ชอบธรรม คอยหาวิธีในการช่วยเหลือสังคม เสียสละเพื่อส่วนร่วม ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้นำขาดความชอบธรรม ไร้ซึ่งวุฒิภาวะ นำพาไปในทางเสื่อม ผู้ตามก็จะตกกระไดพลอยโจนไปด้วย เนื่องจากต้องตกอยู่ในสถานการณ์บังคับให้ต้องเลือกข้าง บทบาทของผู้นำจึงเป็นบทบาทสำคัญที่สังคมไทยต้องการ หลักทศพิธราชธรรม (การบริหารบ้านเมือง) และหลักธรรมาภิบาล (GOOD GOVERNANCE) จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมากที่เรามีพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวที่ทรงทศพิธราชธรรม แต่เรากลับมีนักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอรัปชั่น ภาวะผู้นำหรือผู้นำที่สังคมไทยต้องการและจำเป็นต้องมีนั้น ควรมีลักษณะอย่างไรจึงจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญและสงบสุขได้
ในที่นี้ผู้เขียนขอเสนอหลักปฏิบัติของผู้นำ ๑๐ ข้อ แบบร่วมสมัยที่ผู้เขียนเชื่อว่าผู้นำประเทศทุกยุคทุกสมัยนำไปใช้ได้ เพียงแต่ว่าต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงมิใช่แค่อยู่ในหน้ากระดาษเท่านั้น กล่าวคือ
๑) เป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้กอบโกย (ทานํ)
๒) เป็นผู้มีจริยธรรม คือมีความประพฤติที่ถือเอาเป็นต้นแบบได้ (สีลํ)
๓) เป็นผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน (ปริจฺจาคํ)
๔) เป็นผู้มีสุจริตโปร่งใส (อาชฺชวํ)
๕) เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน ดังหนึ่งเป็นข้าช่วงใช้ของประชาชน (มทฺทวํ)
๖) เป็นผู้ฝึกตนให้ลอยพ้นเหนือผลประโยชน์และอคติทั้งปวง (ตปํ)
๗) เป็นผู้ไม่ลุแก่อำนาจ (อกฺโกธํ)
๘) เป็นผู้ไม่เบียดเบียนประชาชนทั้งโดยอำนาจ/กฎหมาย/ภาษีที่ไม่ชอบธรรม (อวิหิงฺสา)
๙) เป็นผู้อดทนต่องานหนัก/ต่อการวิพากษ์วิจารณ์/ต่อการยั่วยุให้ลุแก่อำนาจ (ขนฺติ)
๑๐) เป็นผู้ถือธรรม (นิติธรรม/เนติธรรม/สัจธรรม) เป็นอำนาจเป็นธงชัย ในการบริหารราชการแผ่นดิน (อวิโรธนํ)[๒]
ในเมืองไทยของเรานั้น ชอบอ้างนักว่าธรรมะไม่เกี่ยวกับการเมือง คนที่นิยมกล่าวอ้างเช่นนี้ แสดงว่าขาดความรู้ทั้งทางธรรมและทางการเมืองเพราะในความเป็นจริงนั้น ธรรมะจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเมือง เนื่องจาก “การเมืองที่ไม่มีธรรมะ ก็เท่ากับประเทศชาติไม่มี
ความเจริญ” เพราะเมื่อนักการเมืองไม่มีธรรมะ เขาจะนำพาเอาประเทศชาติฉิบหายไปด้วย มีนักการเมืองคนหนึ่งได้กล่าวออกสื่อว่า “ผมไม่ได้รับมอบหมาย ให้มาพูดเรื่องจริยธรรม” ประโยคนี้ถือเป็นประโยคทองที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความเป็นผู้นำของนักการเมืองไทยบางคนไม่ได้ผูกโยงกับหลักของศีลธรรมอันดีงาม เมื่อนักการเมืองเลือกที่จะปฏิเสธการยอมรับศีลธรรมฉันใด นั่นก็แสดงให้เห็นว่า นักการเมืองเลือกที่จะยอมรับการทุจริตคอรัปชั่นว่าเป็นเรื่องปกติวิสัยฉันนั้น หากประเทศไทยมีนักการเมืองหรือผู้นำที่ปราศจากธรรมะเป็นแนวทางในการทำงานแล้ว ประเทศไทยย่อมมีโอกาสสูงที่จะตกต่ำไปมากกว่านี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับนานาชาติ เพียงแค่หยิบยกเรื่องจริยธรรมมาเป็นเครื่องชี้วัดระดับความโปร่งใส ประเทศไทยก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
เมื่อประมวลปัญหาต่างๆแล้ว รากเง้าแห่งปัญหานั้นก็หนีไม่พ้นอกุศลมูล ๓ ที่ทำร้ายสังคมไทยเรามาอย่างยาวนานและเพิ่งเห็นชัดเจนเมื่อปัญหานั้นปะทุขึ้นมา ได้แก่[๓]
๑) ความโลภ หรือ ความอยากไม่รู้จักจบสิ้น
๒) ความโกรธ หรือ ความลุแก่อำนาจ
๓) ความหลง หรือ กระบวนทัศน์การพัฒนาคนหรือประเทศที่ผิดพลาด
กิเลส ๓ ตัวนี้ บางทีมีสรรพนามว่า ตัณหา มานะ ทิฐิ หากนำมาประยุกต์ให้ร่วมสมัย ก็จะพบว่า ไม่ใช่กิเลสตัวใหม่แต่อย่างใดในสังคมไทย เพราะแท้จริงแล้ว
๑) ตัณหา ก็คือ ระบบทุนนิยม (กำไรสูงสุด/กระตุ้นให้อยาก-ยั่วให้ซื้อเกินจำเป็น)
๒) มานะ ก็คือ ระบบอำนาจนิยม (บ้าอำนาจ/โลกาภิวัตน์/ชาตินิยม)
๓) ทิฐิ ก็คือ ระบบทุนนิยม(ความมั่งคั่งพรั่งพร้อมทางวัตถุคือคำตอบสุดท้ายของชีวิต)
พระพุทธเจ้าในฐานะผู้นำ
การได้ศึกษาพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าผ่านพระไตรปิฎก ทำให้เราได้ทราบคุณสมบัติความเป็นผู้นำมาด้วยโดยปริยาย คุณสมบัติเหล่านั้นแทรกแฝงอยู่ในทุกเหตุการณ์
ทุกเรื่องราว ไม่ใช่เรื่องที่จะไปถามผู้นำว่า คุณสมบัติที่ดีของผู้นำคืออะไร เป็นเรื่องของผู้มองจากภายนอกที่จะต้องสรุปเองว่าคุณสมบัติใดบ้างที่คนๆหนึ่งมี ที่ทำให้เขามีความเป็นผู้นำ
พระพุทธเจ้าเคยถูกประทุษร้ายทั้งทางกายและวจีกรรม เช่น ถูกท้าทายลองดีโดยพวกต่างลัทธิ ถูกยั่วยุให้โกรธหรือให้ละทิ้งความตั้งใจ ถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยผู้มีจิตริษยา ถูกปองร้ายโดยผู้ใกล้ชิด ในการบริหารงานภายใน บางครั้งก็มีภิกษุหัวแข็งไม่เชื่อฟัง ทะเลาะกันเองให้วุ่นวาย หรือแม้กระทั่งมีผู้คิดจะแบ่งแยกสงฆ์ออกเป็นสองฝ่าย พระพุทธองค์ทรงใช้วิธีการต่างๆกันในการแก้ปัญหา ขึ้นอยู่กับโอกาสและลักษณะของปัญหา เช่น
การกล่าวร้ายป้ายสีของพวกลัทธิอื่นในกรุงสาวัตถี หรือการรุมด่าว่าที่ทรงประสบในกรุงโกสัมพี ทรงใช้วิธีกล่าวเตือนสติแต่ไม่โต้ตอบ เรื่องร้ายก็คลายไป
การทะเลาะกันเองของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี เมื่อพระพุทธเจ้าห้ามแล้วไม่มีภิกษุฝ่ายใดยอมฟัง ก็เสด็จปลีกพระองค์ออกไปอยู่ป่า จนกระทั่งชาวเมืองหันมาประท้วงพระภิกษุผู้ช่างทะเลาะ เหตุที่ไม่พอใจเพราะพระภิกษุเหล่านี้ทะเลาะกันจนทำให้พระพุทธเจ้าหลีกพระองค์ไปอยู่ป่า เมื่อภิกษุเหล่านั้นสำนึกได้ เรื่องจึงคลี่คลายลง
การวางท่าทีต่อคำถามของวัสสการพราหมณ์ ซึ่งถามเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การเมือง พระองค์ชี้ให้เห็นยุทธศาสตร์ความเข้มแข็งของแคว้นวัชชี หมายความว่า แทนที่พระพุทธองค์จะตรัสว่ายุทธศาสตร์การรบคืออะไร พระองค์กลับว่า การจะสร้างเมืองให้เข้มแข็งต้องทำอย่างไร เพราะเมื่อชุมชนเข้มแข็งแล้ว ทุกอย่างไม่ว่า ด้านการศึกษา สังคม การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ ก็เข้มแข็งไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น จะไม่มีใครสามารถทำลายได้ หรือจะไปทำลายเขาก็ไม่ได้ โดยชี้ให้วัสสการพราหมณ์เห็นตัวอย่างและเข้าใจในยุทธศาสตร์ความเข้มแข็งนั้น ผ่านการสนทนากับพระอานนท์ถึงอปริหานิยธรรมที่ชาวแคว้นวัชชีถือปฏิบัติอยู่
การศึกษาปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า ดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้ ในภาพรวมเป็นเครื่องเตือนให้เห็นว่าแม้แต่พระศาสดาผู้เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณก็ยังประสบปัญหานานาประการจากบุคคลที่ยังมีกิเลสครอบงำจิตใจ พระองค์ทรงใช้พระปรีชา
ญาณในการแก้ไขปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดีพร้อมทั้งยังชี้แนะแนวทางสันติสุขให้กับประชาชนด้วย
การหันมาดูพุทธวิธีในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ ซึ่งพระพุทธองค์ทำด้วยปัญญาคุณ และพระมหากรุณาคุณ อาจจะทำให้ผู้นำตัดสินใจในเรื่องต่างๆโดยใช้อารมณ์น้อยลง มีสติและความรอบคอบมากขึ้น ทว่า เราต้องไม่ลืมว่าการกระทำต่างๆของพระพุทธเจ้า มิได้ใช้วิธีการอันมิชอบตามทำนองคลองธรรม พุทธวิธีเป็นวิธีที่มีพระบริสุทธิคุณรองรับอยู่ การที่ผู้นำยังมีกิเลสอยู่ ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะล้มเลิกความตั้งใจใช้พุทธวิธีเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ แต่ควรจะเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้เท่าทันระมัดระวัง และพยายามลดกิเลสลงบ้าง ลดความเห็นแก่ตัวลงบ้าง มองผลที่จะเกิดกับประชาชน และสังคมโดยรวมให้มากขึ้น โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในฐานะผู้นำ ควรยึดหลักธรรมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ก่อนที่ปัญหานั้นๆจะเปลี่ยนระดับกลายเป็นวิกฤติของคนในชาติ ถ้ากระทำได้เช่นนั้น ผลของการกระทำอันดีงามและเที่ยงตรงก็ไม่สูญหายไปไหนแน่นอน ผลจากการกระทำนั้นจะส่งผลย้อนกลับมาเป็นความเจริญอย่างยั่งยืน ความสงบร่มเย็นของประชาชนภายในชาติ รวมทั้งความสงบสุขในสังคมโลกสืบไป
บรรณานุกรม
ว.วชิรเมธี. การเมืองเนื่องในธรรม. กรุงเทพฯ : กรุงเทพธุรกิจ,๒๕๕๒.
นวพร เรืองสกุล. ๒๖ ศตวรรษ พระพุทธเจ้าสุดยอด ซี.อี.โอ..
กรุงเทพฯ : บริษัทซีเอ็ดยูเคชั่นจำกัด(มหาชน),๒๕๔๙.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒.
กรุงเทพฯ : นานมีบุคส์ พับลิเคชั่น,๒๕๔๖.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระสุตตันตปิฎก.
กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑