@ติดต่อ mcu_53@hotmail.com@ @ขออภัยกำลังปรับปรุง@

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พระพุทธศาสนา กับวิกฤตการณ์ผู้นำทางสังคม

พระพุทธศาสนา
กับวิกฤตการณ์ผู้นำทางสังคม

พระณัฐพร  กุสลจิตฺโต
ครุศาสตร์ ปี 3
ปัญหาสังคมไทยในปัจจุบันเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกลงสู่รากแก้วแห่งหุบเหวทางจิตวิญญาณของประชาชนคนไทย ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางความคิดความเห็นของกลุ่มบุคคลที่ต่างเห็นว่าความคิดและการกระทำของตนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด  เที่ยงตรงที่สุด  ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นความเห็นที่ผิดเป็นการกระทำที่ผิด  ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นแตกต่างกัน   ต่างฝ่ายต่างไม่หันหน้าเข้าหากัน ไม่พูดคุยกันเพื่อปรับความเข้าใจหรือเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องร่วมกัน  ทว่า  ทั้งสองฝ่ายกลับมองเห็นอีกฟากฝั่งหนึ่งเป็นศัตรูคู่อริ  คิดแค้นเคืองกัน  บริภาษกันด้วยถ้อยคำอันหยาบคาย  ใช้กำลังประทุษร้าย   พยายามพูดปลุกเร้ามวลชนให้เข้าร่วมอุดมการณ์ที่กลุ่มตนนั้นยึดถือ   ใช้มวลชนในการอ้างความชอบธรรมต่อรองผลประโยชน์จากรัฐ   นอกจากนั้นแล้วยังยุยงมวลชนให้กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายโดยใช้คำว่า  “อารยะขัดขืน”   โน้มน้าวมวลชนของตนว่านี่คือการชุมนุมแบบสันติอหิงสาที่ทั่วโลกยอมรับได้    เป็นการไม่เบียดเบียนใคร  เป็นหนทางแห่งชัยชนะ  เป็นหนทางที่ผู้เจริญแล้วทำกัน  ที่สำคัญได้นำคำว่าประชาธิปไตยมาเรียกร้อง  แต่ในความเป็นจริงแล้วหลักการและวิธีการดังกล่าวส่งผลกระทบเสียหายให้คนหมู่มาก ซึ่งจากหลายเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้เขียนในฐานะที่เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนาผู้มีอุดมการณ์ทางความคิดประการหนึ่งว่า  อยากเห็นสังคมที่ตนได้ร่วมชายคาอาศัยนั้นมีความสงบสุข ประชาชนภายในชาติมีเมตตาอารี ให้อภัยซึ่งกันและกัน  ที่สำคัญอยากให้ประชาชนชาวไทยรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญความจริงและความถูกต้องในการแก้ไขปัญหามากกว่าการใช้กำลังประทุษร้าย   ประพฤติตนให้สมกับที่ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ผู้เขียนใคร่ขอนำหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาเทียบเคียงกับวิกฤตการณ์[๑] ดังกล่าว พร้อมทั้งพยายามหาแนวทางในการแก้ไขตามหลักพุทธวิธีที่ผู้เขียนเห็นว่าสอดคล้องกันกับสภาพความเป็นจริง

สังคมปมปัญหา
ในช่วงสถานการณ์การเมืองร้อนระอุ ประชาชนตกอยู่ในสภาวะจิตถดถอย จากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง  การเกิดสงครามขนาดย่อมกลางเมืองกรุง  เหตุการณ์นองเลือดของคนไทย ที่ตกต้องผืนแผ่นดินโดยน้ำมือของคนชาติเดียวกันเอง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีต้นเหตุมาจากปัญหาความขัดแย้งของบุคคลสองกลุ่มเป็นสำคัญ  จนเป็นบ่อเกิดให้ปัญหาทางการเมืองที่หมักหมมมานานได้ปะทุขึ้น  เสมือนหนึ่งว่า ปัญหาความขัดแย้งของบุคคลทั้งสองกลุ่มนั้นเป็นตัวจุดระเบิดให้ปัญหาการเมืองระเบิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญหาทั้งหลายทั้งปวง  เกิดจากผู้นำทางความคิดหรือเรียกให้ร่วมสมัยก็คือ  “แกนนำ”  เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างแบบสุดโต่ง (หรืออีกนัยหนึ่ง  มีอุดมการณ์เหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่วิธีการ) คอยปลุกปั่นมวลชนให้มีความคิดความเห็นตามที่ตนเชื่อและยึดถือ โดยอ้างเหตุผลนานัปการทั้งที่จริงบ้าง  ปรุงแต่งขึ้นบ้าง  มาแสดงให้กับผู้ฟังหรือผู้ร่วมชุมนุมได้เห็นพ้องกับทัศนะของตนเอง  เพื่อทำให้ผู้ชุมนุมมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมเป็นแนวทางเดียวกัน  เมื่อมวลชนมีอุดมการณ์ร่วมกันแล้ว  ทำให้มวลชนเกิดความเข้มแข็ง ผู้ร่วมชุมนุมก็จะทำตามผู้นำโดยไม่มีเงื่อนไข  หลังจากนั้นผู้นำจะนำพาให้เป็นไปในแนวทางที่ตนต้องการได้โดยง่าย  ไม่ว่าหนทางและวิธีการนั้นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม  ขอเพียงให้มีกฎหมู่เป็นกลไกเท่านั้นเป็นพอ  เพราะแกนนำคิดกับผู้ร่วมชุมนุมแค่หมากตัวสำคัญในการเข้าถึงเป้าหมายที่ได้วางไว้เท่านั้นเอง
ผู้นำในเรือนธรรม
จริงอยู่ที่สังคมและประเทศชาติต้องการผู้นำ  แต่ก็ต้องการผู้นำที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีวุฒิภาวะ  นำพาไปในทางที่ชอบธรรม  คอยหาวิธีในการช่วยเหลือสังคม  เสียสละเพื่อส่วนร่วม  ในทางตรงกันข้าม  ถ้าผู้นำขาดความชอบธรรม  ไร้ซึ่งวุฒิภาวะ  นำพาไปในทางเสื่อม  ผู้ตามก็จะตกกระไดพลอยโจนไปด้วย  เนื่องจากต้องตกอยู่ในสถานการณ์บังคับให้ต้องเลือกข้าง  บทบาทของผู้นำจึงเป็นบทบาทสำคัญที่สังคมไทยต้องการ  หลักทศพิธราชธรรม (การบริหารบ้านเมือง) และหลักธรรมาภิบาล (GOOD GOVERNANCE) จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันอย่างกว้างขวาง  ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมากที่เรามีพระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัวที่ทรงทศพิธราชธรรม  แต่เรากลับมีนักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอรัปชั่น    ภาวะผู้นำหรือผู้นำที่สังคมไทยต้องการและจำเป็นต้องมีนั้น ควรมีลักษณะอย่างไรจึงจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญและสงบสุขได้
ในที่นี้ผู้เขียนขอเสนอหลักปฏิบัติของผู้นำ ๑๐  ข้อ แบบร่วมสมัยที่ผู้เขียนเชื่อว่าผู้นำประเทศทุกยุคทุกสมัยนำไปใช้ได้  เพียงแต่ว่าต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงมิใช่แค่อยู่ในหน้ากระดาษเท่านั้น  กล่าวคือ
๑)      เป็นผู้ให้  ไม่ใช่ผู้กอบโกย  (ทานํ)
๒)    เป็นผู้มีจริยธรรม  คือมีความประพฤติที่ถือเอาเป็นต้นแบบได้  (สีลํ)
๓)    เป็นผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน  (ปริจฺจาคํ)
๔)    เป็นผู้มีสุจริตโปร่งใส  (อาชฺชวํ)
๕)    เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน  ดังหนึ่งเป็นข้าช่วงใช้ของประชาชน  (มทฺทวํ)
๖)     เป็นผู้ฝึกตนให้ลอยพ้นเหนือผลประโยชน์และอคติทั้งปวง  (ตปํ)
๗)   เป็นผู้ไม่ลุแก่อำนาจ  (อกฺโกธํ)
๘)    เป็นผู้ไม่เบียดเบียนประชาชนทั้งโดยอำนาจ/กฎหมาย/ภาษีที่ไม่ชอบธรรม      (อวิหิงฺสา)
๙)    เป็นผู้อดทนต่องานหนัก/ต่อการวิพากษ์วิจารณ์/ต่อการยั่วยุให้ลุแก่อำนาจ  (ขนฺติ)
๑๐)             เป็นผู้ถือธรรม  (นิติธรรม/เนติธรรม/สัจธรรม)  เป็นอำนาจเป็นธงชัย       ในการบริหารราชการแผ่นดิน (อวิโรธนํ)[๒]
ในเมืองไทยของเรานั้น ชอบอ้างนักว่าธรรมะไม่เกี่ยวกับการเมือง คนที่นิยมกล่าวอ้างเช่นนี้  แสดงว่าขาดความรู้ทั้งทางธรรมและทางการเมืองเพราะในความเป็นจริงนั้น  ธรรมะจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเมือง  เนื่องจาก  “การเมืองที่ไม่มีธรรมะ  ก็เท่ากับประเทศชาติไม่มี

ความเจริญ”  เพราะเมื่อนักการเมืองไม่มีธรรมะ  เขาจะนำพาเอาประเทศชาติฉิบหายไปด้วย  มีนักการเมืองคนหนึ่งได้กล่าวออกสื่อว่า  “ผมไม่ได้รับมอบหมาย  ให้มาพูดเรื่องจริยธรรม”  ประโยคนี้ถือเป็นประโยคทองที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า  ความเป็นผู้นำของนักการเมืองไทยบางคนไม่ได้ผูกโยงกับหลักของศีลธรรมอันดีงาม  เมื่อนักการเมืองเลือกที่จะปฏิเสธการยอมรับศีลธรรมฉันใด  นั่นก็แสดงให้เห็นว่า  นักการเมืองเลือกที่จะยอมรับการทุจริตคอรัปชั่นว่าเป็นเรื่องปกติวิสัยฉันนั้น  หากประเทศไทยมีนักการเมืองหรือผู้นำที่ปราศจากธรรมะเป็นแนวทางในการทำงานแล้ว  ประเทศไทยย่อมมีโอกาสสูงที่จะตกต่ำไปมากกว่านี้  ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับนานาชาติ  เพียงแค่หยิบยกเรื่องจริยธรรมมาเป็นเครื่องชี้วัดระดับความโปร่งใส  ประเทศไทยก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
เมื่อประมวลปัญหาต่างๆแล้ว รากเง้าแห่งปัญหานั้นก็หนีไม่พ้นอกุศลมูล    ที่ทำร้ายสังคมไทยเรามาอย่างยาวนานและเพิ่งเห็นชัดเจนเมื่อปัญหานั้นปะทุขึ้นมา  ได้แก่[๓]
๑)      ความโลภ       หรือ   ความอยากไม่รู้จักจบสิ้น
๒)     ความโกรธ      หรือ  ความลุแก่อำนาจ
๓)     ความหลง       หรือ  กระบวนทัศน์การพัฒนาคนหรือประเทศที่ผิดพลาด
กิเลส    ตัวนี้ บางทีมีสรรพนามว่า  ตัณหา  มานะ  ทิฐิ  หากนำมาประยุกต์ให้ร่วมสมัย  ก็จะพบว่า  ไม่ใช่กิเลสตัวใหม่แต่อย่างใดในสังคมไทย  เพราะแท้จริงแล้ว
๑)     ตัณหา   ก็คือ  ระบบทุนนิยม  (กำไรสูงสุด/กระตุ้นให้อยาก-ยั่วให้ซื้อเกินจำเป็น)
๒)    มานะ    ก็คือ  ระบบอำนาจนิยม  (บ้าอำนาจ/โลกาภิวัตน์/ชาตินิยม)
๓)    ทิฐิ ก็คือ ระบบทุนนิยม(ความมั่งคั่งพรั่งพร้อมทางวัตถุคือคำตอบสุดท้ายของชีวิต)
พระพุทธเจ้าในฐานะผู้นำ
       การได้ศึกษาพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าผ่านพระไตรปิฎก  ทำให้เราได้ทราบคุณสมบัติความเป็นผู้นำมาด้วยโดยปริยาย  คุณสมบัติเหล่านั้นแทรกแฝงอยู่ในทุกเหตุการณ์

ทุกเรื่องราว  ไม่ใช่เรื่องที่จะไปถามผู้นำว่า  คุณสมบัติที่ดีของผู้นำคืออะไร  เป็นเรื่องของผู้มองจากภายนอกที่จะต้องสรุปเองว่าคุณสมบัติใดบ้างที่คนๆหนึ่งมี ที่ทำให้เขามีความเป็นผู้นำ 
       พระพุทธเจ้าเคยถูกประทุษร้ายทั้งทางกายและวจีกรรม  เช่น  ถูกท้าทายลองดีโดยพวกต่างลัทธิ  ถูกยั่วยุให้โกรธหรือให้ละทิ้งความตั้งใจ  ถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยผู้มีจิตริษยา  ถูกปองร้ายโดยผู้ใกล้ชิด  ในการบริหารงานภายใน บางครั้งก็มีภิกษุหัวแข็งไม่เชื่อฟัง  ทะเลาะกันเองให้วุ่นวาย  หรือแม้กระทั่งมีผู้คิดจะแบ่งแยกสงฆ์ออกเป็นสองฝ่าย  พระพุทธองค์ทรงใช้วิธีการต่างๆกันในการแก้ปัญหา  ขึ้นอยู่กับโอกาสและลักษณะของปัญหา  เช่น 
       การกล่าวร้ายป้ายสีของพวกลัทธิอื่นในกรุงสาวัตถี  หรือการรุมด่าว่าที่ทรงประสบในกรุงโกสัมพี  ทรงใช้วิธีกล่าวเตือนสติแต่ไม่โต้ตอบ  เรื่องร้ายก็คลายไป
       การทะเลาะกันเองของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี  เมื่อพระพุทธเจ้าห้ามแล้วไม่มีภิกษุฝ่ายใดยอมฟัง  ก็เสด็จปลีกพระองค์ออกไปอยู่ป่า  จนกระทั่งชาวเมืองหันมาประท้วงพระภิกษุผู้ช่างทะเลาะ เหตุที่ไม่พอใจเพราะพระภิกษุเหล่านี้ทะเลาะกันจนทำให้พระพุทธเจ้าหลีกพระองค์ไปอยู่ป่า เมื่อภิกษุเหล่านั้นสำนึกได้  เรื่องจึงคลี่คลายลง
       การวางท่าทีต่อคำถามของวัสสการพราหมณ์  ซึ่งถามเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การเมือง  พระองค์ชี้ให้เห็นยุทธศาสตร์ความเข้มแข็งของแคว้นวัชชี  หมายความว่า  แทนที่พระพุทธองค์จะตรัสว่ายุทธศาสตร์การรบคืออะไร  พระองค์กลับว่า  การจะสร้างเมืองให้เข้มแข็งต้องทำอย่างไร เพราะเมื่อชุมชนเข้มแข็งแล้ว ทุกอย่างไม่ว่า  ด้านการศึกษา  สังคม   การเมืองการปกครอง  เศรษฐกิจ  ก็เข้มแข็งไปด้วย  เมื่อเป็นเช่นนั้น  จะไม่มีใครสามารถทำลายได้  หรือจะไปทำลายเขาก็ไม่ได้  โดยชี้ให้วัสสการพราหมณ์เห็นตัวอย่างและเข้าใจในยุทธศาสตร์ความเข้มแข็งนั้น ผ่านการสนทนากับพระอานนท์ถึงอปริหานิยธรรมที่ชาวแคว้นวัชชีถือปฏิบัติอยู่ 
การศึกษาปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า   ดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้  ในภาพรวมเป็นเครื่องเตือนให้เห็นว่าแม้แต่พระศาสดาผู้เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณก็ยังประสบปัญหานานาประการจากบุคคลที่ยังมีกิเลสครอบงำจิตใจ   พระองค์ทรงใช้พระปรีชา

ญาณในการแก้ไขปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดีพร้อมทั้งยังชี้แนะแนวทางสันติสุขให้กับประชาชนด้วย
การหันมาดูพุทธวิธีในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ  ซึ่งพระพุทธองค์ทำด้วยปัญญาคุณ  และพระมหากรุณาคุณ  อาจจะทำให้ผู้นำตัดสินใจในเรื่องต่างๆโดยใช้อารมณ์น้อยลง  มีสติและความรอบคอบมากขึ้น  ทว่า  เราต้องไม่ลืมว่าการกระทำต่างๆของพระพุทธเจ้า  มิได้ใช้วิธีการอันมิชอบตามทำนองคลองธรรม  พุทธวิธีเป็นวิธีที่มีพระบริสุทธิคุณรองรับอยู่  การที่ผู้นำยังมีกิเลสอยู่  ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะล้มเลิกความตั้งใจใช้พุทธวิธีเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ  แต่ควรจะเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้เท่าทันระมัดระวัง  และพยายามลดกิเลสลงบ้าง  ลดความเห็นแก่ตัวลงบ้าง  มองผลที่จะเกิดกับประชาชน และสังคมโดยรวมให้มากขึ้น  โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในฐานะผู้นำ ควรยึดหลักธรรมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ  ก่อนที่ปัญหานั้นๆจะเปลี่ยนระดับกลายเป็นวิกฤติของคนในชาติ  ถ้ากระทำได้เช่นนั้น  ผลของการกระทำอันดีงามและเที่ยงตรงก็ไม่สูญหายไปไหนแน่นอน ผลจากการกระทำนั้นจะส่งผลย้อนกลับมาเป็นความเจริญอย่างยั่งยืน  ความสงบร่มเย็นของประชาชนภายในชาติ  รวมทั้งความสงบสุขในสังคมโลกสืบไป










บรรณานุกรม
ว.วชิรเมธี. การเมืองเนื่องในธรรม. กรุงเทพฯ : กรุงเทพธุรกิจ,๒๕๕๒.
นวพร  เรืองสกุล. ๒๖ ศตวรรษ พระพุทธเจ้าสุดยอด ซี.อี.โอ..
กรุงเทพฯ : บริษัทซีเอ็ดยูเคชั่นจำกัด(มหาชน),๒๕๔๙.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒.
กรุงเทพฯ : นานมีบุคส์ พับลิเคชั่น,๒๕๔๖.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระสุตตันตปิฎก.
กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑


เขียนได้สองวิธี   วิกฤตการณ์ (วิ-กริด-ตะ-กาน) กับ วิกฤติการณ์ (วิ-กริด-ติ-กาน)  เป็นคำนาม  หมายถึง  เหตุการณ์อันวิกฤติ    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒
[๒]ว.วชิรเมธี. การเมืองเนื่องในธรรม. กรุงเทพฯ : กรุงเทพธุรกิจ,๒๕๕๒. (หน้า ๒๖)
[๓] ว.วชิรเมธี. การเมืองเนื่องในธรรม. กรุงเทพฯ : กรุงเทพธุรกิจ,๒๕๕๒.(หน้า ๗๘)

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำ 'แผลแห้ง-แผลเปียก' ถูกวิธี

ทำ 'แผลแห้ง-แผลเปียก' ถูกวิธี


เกร็ดความรู้


เวลาเกิดอุบัติเหตุจนทำให้บาดเจ็บและเป็นแผล สิ่งที่จำเป็นอย่างมากก็คือ การทำแผลเพื่อป้องกันเชื้อโรค และยังถือเป็นการรักษาอาการบาดเจ็บด้วย ทว่าการทำแผลนั้นก็ต้องทำให้ถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพแผล เพื่อให้แผลหายเร็ว และลดความเสี่ยงเกิดอักเสบติดเชื้อ

โดยแผลนั้น มี 2 ประเภท คือ แผลแห้ง เป็นแผลที่มีลักษณะปิด ไม่มีการอักเสบ และไม่มีสิ่งขับหลั่งออกมาจากแผล อีกประเภทเรียกว่า แผลเปียก มีลักษณะเป็นแผลเปิด มีการอักเสบ มีสิ่งขับหลั่งออกมาจากแผล เช่น เลือด น้ำหนอง

การทำแผลและการปิดแผลของแผลแห้งกับแผลเปียกจะต่างกัน ครั้งนี้ขอแนะวิธีทำแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุใกล้ตัว อาทิ หกล้มจนผิวหนังถลอก ถูกของมีคมบาด เริ่มจากการทำแผลแห้ง ให้ใช้สำลีประมาณ 2-3 ก้อน หรือมากน้อยกว่านี้ตามขนาดของแผล ชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดลงที่แผลเบาๆ ด้วยเทคนิคเช็ดให้ชิดขอบแผลและวนออกนอกแผลให้ห่างออกไปอีกราว 2-3 นิ้ว จากนั้นปิดแผลด้วยผ้าก็อสที่ยึดกับผิวด้วยเทปกาวติดแผลหรือแผ่นพลาสเตอร์ โดยติดตามแนวขวางลำตัว

สำหรับการทำแผลเปียก เริ่มด้วยการเช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ 70% เช่นเดียวกับการทำแผลแห้ง ต่อด้วยการใช้สำลีชุบน้ำเกลือ บางครั้งเรียก โซเดียมคลอไรด์ ช่วยในการกระตุ้นการงอกขยายของเซลล์ใหม่และไม่ทำลายเนื้อเยื่อ หรือใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน กรณีที่เป็นแผลถลอก เนื่องจากสามารถฆ่าได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส แต่ด้วยความเข้มข้นของทิงเจอร์ไอโอดีน อาจทำให้ผิวแสบไหม้ได้ ดังนั้น หลังจากใช้ทิงเจอร์ไอโอดีนเช็ดแผลผ่านไป 90 นาที ให้เช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70% เพื่อลดการระคายเคือง

หรืออาจใช้เบตาดีนแทนทิงเจอร์ไอโอดีนได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ที่อ่อนกว่า และไม่ทำปฏิกิริยาต่อสิ่งขับหลั่ง กรณีที่แผลเปียกมีความสกปรกมาก และมีสิ่งขับหลั่งพวกหนองหรือลิ่มเลือด ควรใช้น้ำยาไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

ในขั้นตอนการนำสำลีไปชุบน้ำยาที่กล่าวไปนี้ เพื่อเช็ดแผลก็เพื่อฆ่าเชื้อโรค ดูดซับสิ่งขับหลั่ง ให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ

ปิดท้ายการทำแผลเปียกด้วยการใช้ผ้าก็อสหุ้มสำลีเพื่อซับสิ่งขับหลั่ง ยึดติดกับผิวหนังรอบๆ ด้วยเทปกาวติดแผลหรือแผ่นพลาสเตอร์ โดยติดตามแนวขวางลำตัวเช่นกัน.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=152103

'นวด' จนน่วม! อ่วมเพราะรักสบาย

'นวด' จนน่วม! อ่วมเพราะรักสบาย


มุมสุขภาพ


‘สามัญประจำบ้าน’ สัปดาห์นี้ มีเรื่องราวควรรู้เกี่ยวกับการนวดแก้ปวดเมื่อยที่หลายๆ คนชื่นชอบกันนัก แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้เลยว่า การนวดก็มีอันตราย หากไปกดทับกระแทกถูกอวัยวะสำคัญบางแห่ง อาจทำให้บาดเจ็บได้ทีเดียว เรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลมาบอก...

ในสากลโลกก็มีการปรนเปรอเพื่อ “เติมเต็ม” ความรักนี้อยู่หลายแบบ มีอยู่แบบหนึ่งที่ช่วยให้เต็มได้ง่ายและทำให้คนติดกันงอมแงมไปทั้งบ้านเมืองด้วย นั่นคือ การใช้สัมผัส เข้าช่วยครับ

สำหรับบางคนอาจเรียกว่า “การนวด” แต่ที่จริงแล้วมีมากกว่านั้น เช่น การกอดก็เป็นการช่วยเติมรักที่ดี แม้คนไทยจะไม่มีวัฒนธรรมกอดแต่การจับมืออย่างเห็นใจ หรือมารดาใช้มือลูบไล้ลูกน้อยด้วยความรักเปี่ยมหัวใจนั้นก็ยิ่งใหญ่ช่วยไล่ โรคภัยได้มาก ทางอายุรวัฒน์เรียก “สัมผัสบำบัด”

ในคนไทยต้องจัดให้เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่แห่งการสัมผัสบำบัดโดยเฉพาะเรื่องนวดที่พูดขึ้นมาต้องนึกถึงเมืองไทยก่อน อย่างตอนที่อดีตประธานาธิบดีจิมมี คาเตอร์ มาทางเหนือก็ว่ากันว่าท่านชื่นชมการนวดจับเส้นแบบไทยมาก นวดไทยทำได้ตั้งแต่แก้เมื่อย,แก้นิ้วล็อคและยุคนี้มีถึงนวดเสริมอึ๋มในสตรี ที่กำลังนิยม รวมความแล้วการนวดเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยปฏิเสธกันนัก

ศาสตร์การนวดเป็นของดีนะครับ ช่วยคนไข้ให้รอดจากผ่าตัดและหายจากโรคมาได้มากมาย จากประสบการณ์ผ่านมาก็ได้เห็นหลายรายอยู่ครับ แต่ด้วยความรู้ในเรื่องนวดผมยังน้อยไม่เท่ากับผู้ที่เชี่ยวชาญแล้ว แต่ก็รู้สึก “ทึ่ง” ทุกครั้งยามได้เห็นกรรมวิธีนวดที่มีกายวิภาคตามแบบของเขา

เป็นต้นว่า ปวดหลังแต่กดท้องเพื่อช่วยลดอาการปวด หรือนวดแล้วดัดพร้อมกับประคบแล้วผู้ป่วยก็หายปวดได้ในบัดดล น่าค้นคว้าเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องของเรื่องคือเพราะรูปหล่อพระฤาษีในท่าดัดตนต่างๆนั้นมีอยู่ไม่หมดครับ ด้วยหล่อไว้นานกาเลเต็มทีอย่างฤาษีดัดตนที่เหลืออยู่บ้างนี้คือหล่อเอาไว้ แต่ครั้งแผ่นดินพระนั่งเกล้าฯ ก็ชำรุดและหายหกตกหล่นไป ทำให้ได้ท่าทางไม่ครบ ต่อกันไม่ติด ท่าที่เหลือจะบิดอย่างไรดัดอย่างไรก็อาศัยคิดวิเคราะห์เอาเองบ้าง อนุมานเอาเองบ้าง และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะครูโบราณท่าน “หวง” ด้วยครับ อย่างตำรายาวัดโพธิ์ครั้งพระนั่งเกล้าฯทรงมีพระบัณฑูรให้หมอหลวงทั่วแผ่นดิน มาช่วยกันชำระและจารึกไว้ก็ไม่ได้บอกรายละเอียด

-@- 4 ที่เสี่ยง เดี้ยงจากนวด -@-


การนวดให้ดีต้องมีครูและที่สำคัญอีกประการคือต้องรู้ “กายวิภาค” คืออะไหล่ร่างกายมนุษย์นี้ให้ดี ไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยนนะครับ

ถ้านวดเพี้ยนไปจากตำราอาจเป็นการเพิ่มโรคแก่ผู้มานวดมากกว่าช่วยบำบัด ในส่วนของอวัยวะที่เป็น “จุดอ่อน” ของการนวดมีอยู่หลายส่วน ทั้งท่านที่ชอบนวดและไม่เคยนวดก็ควรรู้ไว้บ้างครับว่าบริเวณใดที่ทำให้เกิด นวดน่วมรวมฮิตได้เพราะในบางครั้งนอกจากไม่มีให้เปลี่ยนแล้วยังอาจต้องนั่ง รักษากันยาว

อวัยวะที่ไม่ควรเอาไปจำนำไว้กับฝ่ามือฝ่าเท้าใครมีดังต่อไปนี้ครับ...


"คอ" ระวังให้ดีที่สุดเพราะเป็นจุด “ชุมสาย” เส้นประสาทและเส้นเลือด ถ้าถูกทุบถูกขยำจนย่ำแย่เสียที่ศูนย์ใหญ่แล้ว ใต้คอลงไปเป็นไร้ความรู้สึกได้เลยนะครับ สำหรับคอขอให้นวดอย่างเบามือและถ้ารู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวหรือมีอาการชาแบบแปลกๆเมื่อไรขอให้รีบบอกทันทีเลยครับ

"ศีรษะ" ทราบกันดีที่สุดว่าเป็นจุดสำคัญแม้มันจะมีกะโหลกหุ้มอยู่แต่บางท่าของการนวด อย่างใช้สันมือทุบต้นคอจนกระเทือนไปถึงท้ายทอยอย่างรุนแรงมีสิทธิ์ทำให้เลือดตกในสมองได้(Subdural hematoma)โดยเฉพาะในผู้อาวุโสจะเสี่ยงมากกว่าครับเพราะสมองอยู่ในสภาพฝ่อจึงแกว่งไปมาได้มากกว่า

"สันหลัง" เหมือนกับลำไม้ไผ่ท่อนเดียวที่เกี่ยวยึดให้ร่างกายเราตั้งตรงอยู่ มาคู่กับอันตรายเวลาบิดหรือเอี้ยวกายผิดไปนิดมีสิทธิ์ปวดยาวเรื้อรัง ท่าต้องห้ามสำหรับสันหลังคือ “เหยียบ” หรืองอแล้วบิดเอี้ยวเพราะทำให้หมอนรองกระดูกถูกแรงกดมหาศาลจนทานไม่ไหว

"มดลูก(ท้องน้อย)"
ส่วนภายในที่อ่อนนุ่มที่สุดของสตรีแต่ไม่มีกระดูกมาช่วยคลุมทำให้เกิดรูโหว่ ที่แรงกดโผล่ไปเบียดบีบมดลูกจนเลือดออกได้ ยิ่งในผู้มีถุงน้ำรังไข่,ก้อนเนื้องอกมดลูกหรือในกรณีเลวร้ายสุดคือ “ตั้งครรภ์” โดยไม่ทราบมาก่อนการนวดอาจทำให้ตกเลือดช็อคได้

แม้จะฟังดูน่าเสียวไส้ แต่ที่เล่ามาทั้งนี้ไม่ได้ให้ท่านหนีการนวดนะครับ เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่อารัมภบทให้เห็นอานิสงส์การนวดที่บำบัดโรคได้มาก เพียงแต่การทำหัตถการเช่นว่าอย่าชะล่าใจว่าเป็นแค่บีบเค้นไม่เป็นไร

ขอให้เคล็ดควรจำสำหรับผู้ถูกนวดไว้สักนิด 3 อย่างคือ เจ็บให้บอก,ต้องออกชื่อโรค และโบกมือให้หยุด

ข้อแรกหมายความว่า การนวดที่ดีไม่จำเป็นต้องเจ็บก่อนแล้วจึงสบาย เพราะมันอาจกลายเป็น “ทำลาย” ก็ได้ ส่วนข้อสองที่ต้องบอกชื่อโรคกับหมอเพราะโรคประจำตัวบางโรคเป็นอันตรายต่อการ นวดได้อาทิ ความดันโลหิตสูง,กระดูกทับเส้นประสาทอยู่ มีหมอนรองกระดูกไม่ดีหรือมีเหล็กดาม เป็นต้น อย่างนี้ผู้นวดจำเป็นต้องรู้ ซึ่งถ้าเราไม่บอกจะไปโทษเป็นความผิดผู้นวดไม่ได้ช่วยกันคนละมือละไม้จะได้ ปลอดภัย.
 
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=460&contentId=143653

น้ำผึ้งแก้ไอได้

น้ำผึ้งแก้ไอได้


มุมสุขภาพ


ไอ ทานยาเท่าไรก็ไม่หายสักที มีทางเลือกอีกหนึ่งวิธีในการช่วยบรรเทา ลอง "น้ำผึ้ง" ดูสิ

อาการไอ นอกจากไม่ดีต่อสุขภาพตนเองแล้ว ยังสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นอีกด้วย อีกทั้งเป็นแต่ละทีก็นานแสนนานกว่าจะหาย ทานยาเม็ดก็แล้ว ยาน้ำก็แล้ว ก็ยังไออยู่ ลองใช้วิธีต่อไปนี้เป็นทางเลือกในการรักษา

ให้ลองมองหาน้ำผึ้ง อาหารตามธรรมชาติ หาซื้อไม่ยาก รสชาติอร่อย แค่บีบมะนาวฝานสด ๆ หนึ่งเสี้ยวเข้าปากให้ลงลำคอ แล้วจิบน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ อมไว้สักครู่แล้วค่อยกลืน แก้ไอได้ดีมาก

แต่ถ้าต้องการเก็บไว้จิบระหว่างวัน ให้เตรียมน้ำผึ้งและน้ำมะนาว ในอัตราส่วน น้ำผึ้ง 3-4 ส่วน ต่อ น้ำมะนาว 1 ส่วน แล้วนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวบนเตาไฟ เมื่อเดือดแล้วทิ้งไว้ให้เย็น เสร็จแล้วค่อยเติมน้ำมะนาวลงไปตามสัดส่วนที่กำหนด วิธีนี้สามารถนำน้ำผึ้งเก็บใส่ขวด เพื่อเก็บไว้จิบแก้ไอได้บ่อย ๆ ตามที่ต้องการ เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย

ถ้าหากมีอาการไอเรื้อรัง ลองสูตรดังต่อไปนี้ ใช้น้ำผึ้งประมาณ 500 กรัม และขิงสดประมาณ 1 กิโลกรัมครึ่ง คั้นขิงสดเอาแต่น้ำ นำมาผสมกับน้ำผึ้ง ต้มจนแห้ง รับประทานในปริมาณขนาดเท่าลูกอม 1 เม็ด จะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรังได้

ผลงานวิจัยพบว่าน้ำผึ้งแท้สามารถบรรเทาอาการไอจากหวัดได้ดีกว่ายาแก้ไอที่มี จำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไปด้วยซ้ำ สาเหตุที่ทำให้น้ำผึ้งบรรเทาอาการไอได้นั้น เนื่องมาจากน้ำผึ้งทำให้ลื่นคอและรู้สึกผ่อนคลายที่ลำคอ แต่มีข้อควรระวังว่า ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี.
 
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=147772

วิธีถนอมดวงตาหน้าคอมพิวเตอร์

วิธีถนอมดวงตาหน้าคอมพิวเตอร์


มุมสุขภาพ


เช็ค “ดวงตา” ถูกใช้งานอย่างหักโหมหรือไม่?!! พร้อมวิธีแก้ไขควรปฏิบัติ ช่วยถนอม “สายตา” ยามนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์

นักศึกษายุคไอทีที่ต้องหาข้อมูล ทำการบ้าน หรือพิมพ์รายงานผ่านคอมพิวเตอร์นานหลายชั่วโมง หากรู้สึกตาแห้ง แสบ พร่ามัว ปวดกระบอกตา หรือเห็นแสง-สีผิดจากปกติ นั่นเป็นสัญญาณของการจ้องจอคอมฯ นานเกินไป แม้ไม่อันตราย แต่บั่นทอนประสิทธิภาพการเรียนรู้ ดังนั้น เพื่อดวงตาคู่สวยทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพไปนาน ๆ จึงต้องหมั่นถนอมด้วยวิธีต่อไปนี้

1.จอคอมพิวเตอร์ควรห่างจากสายตาประมาณ 1 ช่วงแขน และปรับจุดกึ่งกลางจอคอมฯ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20 องศา เป็นระยะที่ช่วยลดอาการเมื่อยเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ หลัง และคอได้

2.ปรับแสง และความคมชัดหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา โดยไม่ต้องเพ่ง ควรพิจารณาแสงไฟในห้องด้วยว่า เมื่อส่องกระทบหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้ว จ้าเกินไปหรือไม่ เพราะจะทำให้ดวงตาเมื่อยล้า แห้ง และแสบได้ง่าย นอกจากนี้ ควรติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง

3.พักสายตาทุก 30 นาที โดยหลับตา หรือมองไปไกล ๆ ประมาณ 5 นาที อาจใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ประคบดวงตา ประมาณ 2-3 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี

4.ควรกระพริบตาให้บ่อยขึ้น เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ช่วยลดอาการแสบตา ตาแห้ง และความอ่อนล้าของดวงตาได้ ทั้งนี้ ผลการวิจัยในต่างประเทศพบว่า การนั่งจ้องคอมฯ เป็นเวลานาน อัตราการกระพริบตาจะลดลงโดยไม่รู้ตัว ถึงร้อยละ 60

5.สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ มักตาแห้งได้ง่าย กรณีนี้การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยบรรเทาอาการปวด และแสบตาได้ แต่ควรใช้เมื่อมีอาการ

6.ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ เพราะฝุ่นที่หนาจะทำให้แสงสะท้อนเข้าตาได้มากขึ้น

แม้การใช้งานคอมพิวเตอร์ โดยจ้องจอคอมพิวเตอร์ ไม่ ควรเกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน จะเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ยากสำหรับหนุ่ม-สาวยุคไอที แต่สามารถถนอมดวงตาได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีข้างต้น เพียงหมั่นปฏิบัติให้เป็นนิสัย เพื่อสายตาได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพนานที่สุด.
  http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=651&contentID=154679

โครงสร้าง

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันแม่

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สอบวิชาพัฒนาหลักสูตร

กำหนดสอบวิชาการพัฒนาหลักสูตรวันที่ 09/08/54









ประกาศวันที่ 06 / 08 / 54 

ทราบพอกัน

พระมหาจรัญ  ฐิตโสมนสฺโส

หัวหน้าห้อง

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมเสริมหลักสูตร



ด้วยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนวัดโสธรวราราม 
ได้กำหนดจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรให้นิสิต 
ในวันอังคารที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔  
ณ ห้องประชุมอาคารพระพรหมคุณาภรณ์  มจร. ห้องเรียนวัดโสธรวราราม  
ในกิจกรรมได้กำหนดให้มีการบรรยายพิเศษ เรื่อง  
วิสัยทัศน์และพันธกิจของมหาจุฬาฯ กับทิศทางการศึกษ
คณะสงฆ์ไทยในยุคไอที
โดย  พระธรรมโกศาจารย์  อธิการบดี
เพื่อให้นิสิตได้มีประสบการณ์ วิสัยทัศน์และความรู้จากวิทยากรผู้บรรยายในกิจกรรมดังกล่าว
 
 
 
 
 
ประกาศจากคณะฝ่ายกิจกรรมของห้องเรียนครุศาสตร์ปี 2
ณ วันที่ 06 / 08 / 54

เสนอคณะกรรมการห้องทุกรูป เกี่ยวกับชมรม

     ใครมีชื่อชมรมก็เสนอได้ตรงนี้เลยนะคับประชุมครั้งหน้ากระผมจะได้จัดเอกสารถูกต้องเพื่อแจ้งให้ทุกท่านทราบต่อไป




ประกาศ ณ วันที่ 6 / 08 / 54